วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เช้าวันแรกหลังจากผ่าตา 2 ชั้น และการดูแลแผล

 หลังจากผ่าตัด ลูกเข้าโรงพยาบาล โกลาหลมาก ตาก็เพิ่งผ่า เลือดก็ยังออก จริง ๆ จะต้องคอยประคบเย็นตลอดเพื่อลดอาการบวม แต่ไม่ค่อยได้ประคบเลย เพราะต้องทำเรื่องแอดมิทของลูกชาย พอทุกอย่างโอเค ก็มาประคบเย็นตอนนอน ก็ต้องพยายามตั้งศรีษะตรง แล้วก็พยายามประคบเย็นตลอด สรุปไม่ค่อยได้นอน เพราะมัวแต่ประคบ 555 


ส่วนการดูแลแผลที่ผ่า ก่อนตัดไหมห้ามโดนน้ำ ก็เลยไม่ได้ล้างหน้า ไม่ได้สระผม หน้าเราก็ใช้น้ำเกลือเช็ดหน้า ส่วนบริเวณตาก็ใช้คัตเติลบัตหัวโตๆ ปลายยาวๆ (ทางคลินิคมีให้นิดหน่อย แล้วมาซื้อเพิ่มเติม คือปลายสำลีแบบนี้จะเก็บน้ำได้ดีมาก)  จุ่มน้ำเกลือเช็ดเบา ๆ บริเวณรอบดวงตา  แล้วก็ใส่ยาทาที่คัตเติลบัตขนาดธรรมดา แตะ ๆ เบา ๆ บริเวณรอยที่ผ่าตัด แล้วก็ต้องทานยาแก้อักเสบที่คุณหมอให้มาให้ครบ ส่วนยาแก้ปวดที่ได้รับมาก็ทานตอนปวด เราทานครั้งเดียวหลังผ่าตัดเสร็จ วันต่อ ๆ มาไม่ได้ทานเพราะไม่ได้ปวดแผลอะไร


ทายาตัวนี้ก่อนตัดไหม





วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566

วันที่ผ่าตัดตา 2 ชั้น

 หลังจากโอนจ่ายเงินมัดจำไป 5000 บาท

ก็ถึงวันที่นัดผ่าตัด ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว (กลัวว่าจะออกมาดีมั้ย ฯลฯ) 

เขาก็มีสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้เอาไปรีวิวต่อ ซึ่งถ้าเรายินยอมให้เอาไปรีวิวต่อ ก็จะได้ราคาที่ถูกลงอีก (นิดนึง)

ก็สัมภาษณ์ ๆ จากนั้นก็ไปล้างหน้า  เจอคุณหมอ คุณหมอก็จะประเมินว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ที่เราทำก็จะมี

ตาสองชั้นกรีดยาว

แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

จัดเรียงไขมันเบ้าตา/ร่องน้ำตา

ยกกระชับหางตา

Botox ฟิกซ์คิ้ว

ราคาทั้งหมด 72,000 บาท มัดจำแล้ว 5000 บาท ก็จ่ายส่วนที่เพิ่ม 67,000 บาท (โอนเงินสด เพราะถ้าจ่ายผ่านบัตรเครดิต จะต้องจ่าย 69,000 บาท)

พอจ่ายเงินเสร็จก็ถึงเวลา คือบอกตรง ๆ เจ็บ + กลัว คือคิดเลย ถ้าเรามีตาสวย ๆ ไม่มีปัญหาอะไรคือไม่อยากศัลยกรรมเลย มันกลัวมาก แล้วก็เสียวมาก

ถามว่าคุณหมอมือเบามั้ย ก็เบานะ แต่ด้วยความกลัวไง เพราะเกี่ยวกับตา การมองเห็นอ่ะ  เขาก็ใส่ยาชาให้นะ แต่จะรู้สึกตัวตลอด มีเสียงกริบ ๆ เสียงตัดอะไร มีกลิ่นไหม้ ๆ น่าจะทำอะไรตามวิธีการของคุณหมออ่ะนะ 

จาก 16.00 เสร็จทุกขั้นตอนรวมประคบเย็น + ฉีดโบท็อกซ์ จุดที่คุณหมอฉีดก็บริเวณหน้าผาก มีตรงข้าง ๆ แล้วก็กลางเลย (จุด 2 จุดเล็ก ๆ ที่กลางหน้าผากคือจุดที่ฉีด)   ก็ 18.00 ได้ 

หลังจากนั้นก็ไปถ่ายรูป สัมภาษณ์ความรู้สึก แล้วก็ลงไปรับยา + วิธีการดูแลตัวเอง แล้วก็ถุงยา แล้วคุณหมอก็บอกให้อัพรูปมาให้ดูทุกวัน 1 อาทิตย์

จากนั้นก็กลับโรงแรม เราจองโรงแรมที่เดินแค่ 5 นาทีถึง สะดวกมาก เพราะไม่อยากให้สามีกับลูกมารอเราที่คลีนิคนาน

หลังจากกลับมาที่โรงแรม  มีเลือดออกจากตา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือเพราะเม็ดไฝที่คุณหมอตัดออกด้วย รีบถามทางเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แนะนำให้รีบประคบเย็น แล้วเดี๋ยวเลือดก็จะหยุดไหล

คืออาการค่อยยังชั่วนะ แต่เจ้าลูกชายก็มาไม่สบาย อ๊วกอีก โกลาหลมาก สุดท้ายก็ต้อง Check out ออกจากโรงแรม เรียกรถพยาบาล ก็ออกไปทั้งหน้าตาแบบนี้แหล่ะ 555

วิธีดูแลตัวเอง ก็แจกเป็นเอกสารมาเลย











วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ก่อนไปทำตา 2 ชั้นรวมแก้ไขกล้ามเนื้อตา

 เนื่องจากเรามีปัญหาข้างนึงเล็ก ข้างนึงใหญ่ น่าจะตั้งแต่เด็กนะ แต่พอเริ่มมีอายุมากขึ้นก็จะเริ่มชัดขึ้น เริ่มมีคนทักมากขึ้น เหมือนคนดูเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา (ก็จริงนะ) เลยเริ่มคิดละว่าจะทำตา 2 ชั้น ก็เริ่มดูรีวิวที่โน้นที่นี่ ไลน์ไปถามตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ดูเรื่องราคาด้วย ก็สรุปมาได้ที่นี่ ก็คุยติดต่อกันทางไลน์ นัดวันทำ แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะไปทำทันทีก็ไม่ได้ ก็เลยนัดล่วงหน้าไปทำตอนที่กลับไทย 

อาจจะมีคนถามว่าทำไมไม่ทำที่ญี่ปุ่นเลยหล่ะ หนึ่งคือภาษา คือถ้าเป็นภาษาบ้านเราเองก็สามารถบอกความต้องการว่าอยากแบบโน้นแบบนี้ คุยกับคุณหมอได้รื่นกว่า เราคิดว่าภาษาเป็นปัจจัยแรกเลย แล้วก็ตามมาด้วยความที่บ้านเราจะยิ้มแย้มกว่า และอีกหลาย ๆ อย่าง

ก่อนผ่าตัดตา 2 ชั้นก็จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยนะอย่างน้อย 2 สัปดาห์

1. งดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ 

2. งดอาหารเสริม เช่นวิตามิน C, E น้ำมันตับปลา และสมุนไพรต่าง ๆ (เรางดทุกวิตามินเลย เพราะไม่แน่ใจ)

3. ในวันผ่าตัดก็ไม่ควรแต่งหน้า ให้สระผมไปให้เรียบร้อยเลย เพราะหลังจากผ่าตัดแผลห้ามโดนน้ำ

4. เตรียมแว่นกันแดด และแว่นตาไปด้วย กันลมกันฝุ่นกันแดด

ก็มีเตรียมตัวประมาณนี้นะ



วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ ลูกชาย 9 ขวบผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอมซิลที่เมืองไทย (หลังจากผ่าตัด)

 หลังจากที่ผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์กับต่อมทอมซิลไปแล้ว นอนที่โรงพยาบาล 1 คืน พยาบาลก็เข้ามาดูว่าลูกเรามีเลือดออกมาหรือเปล่า เพราะตอนที่ผ่าตัดเสร็จ ยาสลบหมดฤทธิ์ เขาตื่นมาร้องโวยวายลั่นโรงพยาบาลเลย คุณหมอเลยกลัวเพราะเพิ่งผ่าตัดเสร็จ แล้วใช้เสียงก็เลยกลัวเรื่องแผล ก็ไม่มีเลือดออก โล่งอกหน่อย แล้วก็มีให้ทานยาแก้ปวด 

ตอนนอนเราก็เลยถ่าย VDO ไว้ เพราะเสียงกรนดังมาก พอมีพยาบาลเข้ามา เลยสอบถามดู เขาก็อธิบายว่าเป็นกันทุกคน เพราะเกี่ยวกับลิ้นไก่ เดี๋ยวก็จะหายไปเอง 

เสียงกรนหลังผ่าตัดก็จะเป็นแบบนี้




พอวันรุ่งขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาลได้

เราพาแวะไปที่บ้านพ่อกับแม่เรา ก็รู้สึกว่าลูกเราหน้าแดง ๆ วัดไข้ดู มีไข้นิด ๆ ก็เลยให้ทานยาแก้ไขไป แต่ก็ร่าเริงดีมาก ยิ้มเล่นกับคุณตาคุณยาย 

ช่วงนี้ก็ยังไม่ทานอะไรเลย น้ำหวานก็ไม่ ไอติมก็ไม่เอา แต่เพราะต้องทานยา เราก็เลยแกมบังคับให้ทานบ้างนิดหน่อย อย่างข้าวต้มซองที่เราเอามาจากญี่ปุ่น (รูปจาก Google) ก็ไม่ต้องอุ่นก็ทานได้ ลูกเราก็ทานไปนิ๊ดเดียวจริงๆ ก็โอเค พอมีของตกท้อง แล้วก็ทานยา  แต่ถ้าเป็นของร้อน ก็ต้องรอให้เย็นก่อน แล้วก็ต้องทำให้อาหารนั้นเละ ๆ คือบี้ให้เละที่สุด จะได้กลืนไม่ลำบาก




ส่วนการพูดและน้ำเสียงของลูกเราก็เหมือนคนห่อลิ้นพูด คือเสียงไม่ชัดเจน ไม่เหมือนตอนก่อนผ่า เราก็กังวล จะเป็นแบบนี้ตลอดหรือเปล่าเนี่ย แต่สักพักใหญ่ ๆ ก็กลับมาพูดเป็นปกติ

(ช่่วงนี้เราก็ให้ลูกเราอยู่แต่โรงแรม ไม่ได้ให้ออกไปไหน คุณหมอก็บอกเหมือนกันว่าไม่ควรออกไปข้างนอกประมาณ 10 วัน) 

จนมาคืนวันที่ 29 กค. 23 ลูกเราก็คงยังไม่ค่อยทานอะไร  เลยให้ดื่มนม แต่ดื่มไม่หมดนะ แล้วพอมาถึงตอนมื้อกลางวัน  ลูกเราบอกมาว่าปวดท้อง  หนาว  ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร  นึกว่าบอกแบบประมาณว่าไม่อยากทานข้าวที่ป้อนให้เลยหาข้ออ้าง

มามื้อเย็น ให้สามีซื้อไข่ตุ่นมา  ก็ให้ทานไข่ตุ๋น  กับนมใส่น้ำแดง  ทานไปได้ไม่เยอะเท่าไหร่   บอกปวดท้อง  หนาว  เหมือนตอนกลางวัน  พอให้ทานยามื้อเย็น  แป๊บเดียวเองก็อ๊วก เป็นสีส้ม ๆ  เลยโทรไปรพ ที่ผ่าตัด  ในส่วนแอ๊ดมิดปิดแล้ว  ก็อธิบายให้พยาบาลฟัง  เขาบอกให้นอนพัก  

แล้วก็อ๊วกอีกเป็นครั้งที่ 2  คราวนี้เริ่มไม่ได้การละ  เลยรีบพาไป รพ ที่ใกล้ที่สุด มาถึงรพ ก็อ๊วกอีก 1 ครั้ง  เจอคุณหมอ คุณหมอบอกเป็นกระเพาะลำไส้ติดเชืัอ  ถามว่าเกี่ยวกับที่ผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์ทอมซิลหรือเปล่า  คุณหมอบอกไม่เกี่ยว  แผลผ่าตัดโอเค  น่าจะเป็นจากอาหารไม่สะอาด  หรือมือไม่สะอาด แล้วเอาเข้าปาก  อีกแล้วทุกครั้งที่มา ลูกเราต้องเข้ารพ เพราะสาเหตุนี้ตลอดเลย

คุณหมอให้ยามากลับมาทานที่บ้าน เป็นยาแก้อาเจียน  ลดลมในกระเพาะ ยาแก้ปวดท้อง  เกลือแร่แบบชง ทานยาแล้วก็นอนพัก  ผ่านไป 2 ชั่วโมง  ตอนนั้นเที่ยงคืนได้ อ๊วกอีก ให้จิบน้ำเกลือแร่ นอนต่อผ่านไปอีก 2 ชั่วโมง  ตี 2 ของวันที่ 30 ก็อ๊วกอีก  คราวนี้ไม่นอนหลับต่อ บอกปวดท้อง ดิ้นไปมา  บอกปวดขาอีก  ปัสสาวะอีก  สีของปัสสาวะนี่น้ำตาลเข้มมาก  ฟองเต็มไปหมดเลย  เลยรีบโทรถามรพ  เจ้าหน้าที่บอกว่า ที่ปวดขาด้วย  ปัสสาวะเข้มมีฟอง ก็เพราะร่างกายขาดสมดุลแล้ว  ถ้าจิบเกลือแร่ไม่ได้ก็ต้องให้น้ำเกลือ  กะจะเรียกรถพยาบาล  เพราะดึกมาก + ไม่รู้เดินไหวเปล่า  แต่ถ้าเรียกรถก็ 1200 บาท สามีเราบอกเรียกแท็กซี่ดีกว่า  ระหว่างไปเรียกมีอ๊วกอีก แท็กซี่ก็มีคนรอเรียกอีก  เพราะคงเพิ่งเลิกจากไปเที่ยวกัน  ดีที่มีคันนึงตรงมาที่พวกเราเลยได้ขึ้นแบบไม่ต้องรอนาน

(มีต่อในแชร์ต่อไป) 

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ ลูกชาย 9 ขวบผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอมซิลที่เมืองไทย (วันที่ผ่าตัด)

 หลังจากที่นัดคุณหมอ เอ็กซเรย์ดูว่าอะดีนอยด์เป็นยังไง สรุปก็ยังโตอยู่กว่าเด็กทั่วไป 30 % แต่เล็กลงจาก 4-5 ปีที่แล้ว ก็เลยไปคุยเรื่องค่าใช้จ่ายที่การเงิน ก็โอเคเป็นราคาที่เรารับได้ แต่แอบแพงกว่าตอนของลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องเรา แต่ก็อย่างว่าเวลาผ่านไป อะไรก็แพงขึ้น

23 กค. วันผ่าตัด

การผ่าเป็นแบบดมยาสลบ งดอาหารตั้งแต่ 8.00 น.ของวันที่ผ่า  แล้วก็ให้มาถึงที่ร.พ. 9.00 น. ลูกเราคือแทบไม่ทานอะไรเลย เพราะกลัวการไปร.พ. ก็เท่ากับว่าเมื่อวานก็ไม่ได้ทาน วันนี้ก่อนผ่าตัดก็ไม่ทานอีก เรากังวลมาก ก็ไม่รู้จะทำยังไง พอได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว ลูกเราผ่า 16.00 น. ก็เปลี่ยนเป็นชุดของร.พ. แล้วก็รอที่ห้องผู้ป่วย สักพักพยาบาลเอาน้ำแดงมาให้ดื่ม บอกคุณหมอบอกให้ดื่มไว้ก่อน เราก็เลยเอะใจเพราะได้ยินมาว่าต้องงดไม่ใช่เหรอ พยาบาลก็บอกว่า เป็นสไตล์ของคุณหมอท่านนี้ ว่าจะให้ดื่มก่อน ก็โอเค พอจะมีอะไรรองท้องนิดนึง 

พอถึงเวลาผ่า ก็พาไปดมยาสลบ ลูกเราขัดขืนอย่างแรง แต่พอยาออกฤทธิ์  นิ่งตาค้างเลย เราตกใจมาก ตัวไม่ขยับ ตาค้าง เราหน้าซีดเลย จะเป็นอะไรหรือเปล่า พยาบาลก็บอกว่าไม่เป็นไร เป็นแบบนี้กันทุกคน เพราะยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว  แล้วก็พาเข้าห้องผ่าตัด แม่เข้าไปด้วยไม่ได้ ก็รออยู่ห้องข้าง ๆ ใช้เวลาผ่าตัด 30 นาที ระหว่างนั้นภาวนาอย่างเดียวเลยขอให้ปลอดภัย ๆ  พอผ่าตัดเสร็จคุณหมอก็ออกมา แล้วก็บอกว่าต่อมทอมซิลก็โตนะ เลยตัดออกไปด้วย เดี๋ยวจะมีพยาบาลถือมาให้ดูที่ตัดไป จะถ่ายรูปก็ได้ เพราะเขาจะต้องส่งที่ตัดไปตรวจอีกว่าปกติ หรือผิดปกติหรือเปล่า 

ต่อมที่ตัดไป เราก็ถ่ายรูปมาเหมือนกัน แต่คงลงให้ดูไม่ได้ เพราะอ่ะนะ อวัยวะภายใน 

พอยาสลบเริ่มหมดฤทธิ์ หลังจากผ่าแป๊ปนึง ยังไม่ได้ออกจากห้องผ่าตัด พอลูกเรารู้สึกตัว โวยวายร้องเสียงดังลั่นร.พ. เลย เสียงร้องก็ผิดจากเดิม เหมือนจะทุ้ม ๆ พูดฟังไม่ชัด ร้องแต่บอกว่า "ตา ๆ " ก็ถามพยาบาล ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า พยาบาลก็บอกว่า มีการป้ายยาที่ตาด้วย เพราะตอนผ่าตัดจะร้อนมากเลย ระวังเรื่องตา เพราะฉะนั้นตาก็จะพร่า ๆ สักพักนึง แล้วพยาบาลก็เอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเปลือกตา ก็เหมือนจะดีขึ้น  แต่ร้องตลอด คุณหมอก็กังวลว่าจะมีเลือดออกด้านในหรือเปล่า เพราะสียงร้องดังมาก กลัวไปกระเทือนกับแผลที่ผ่าตัด ก็โอเคไม่มีเลือดออก 

แล้วคุณหมอก็มีมาบอกให้ทำ 3 ข้อนี้หลังจากผ่าตัด เราจำได้แค่ 2 ข้อ

1. ทานของเย็นอย่างไอศครีม โยเกริ์ต ข้าวต้ม โจ๊ก  ถ้าเป็นของร้อนอยู่ก็ปล่อยให้เย็นก่อน แล้วก็บี้ให้เละ ๆ  ของทอดงด  อาหารปกติยังทานไม่ได้ ให้ทานของอ่อน ๆ 

2. ดุแลช่องปากให้สะอาด บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ  ถ้ามีเลือดออก น้ำที่บ้วนก็จะเป็นสีแดง ก็ให้ติดแจ้ง ร.พ. 

ข้อ 3 จำไม่ได้อ่ะ

หลังจากนั้นก็เป็นช่วงพักฟื้นที่ห้องคนไข้ นอนค้างที่รพ. 1 คืน มีให้ทานยาแก้ปวด  แล้วก็จะคอยเอาเจลแช่เย็นมาประคบที่ลำคอ ช่วยลดการอาการเจ็บ 

ยาที่ได้หลังจากผ่าตัด 

ยาฆ่าเชื้อ 3 มื้อ ทาน 3 อาทิตย์ (24 กค. - 13 สค.)

ยาห้ามเลือด 3 มื้อ ทาน 10 วัน 

ยาแก้แพ้ ทาน 2 มื้อ เช้ากับเย็น ทาน 10 วัน

นอกนั้นเป็นยาตามอาการ  ยาแก้ปวด ยาแก้ไอแบบน้ำ

ลูกเราก็มียาที่ทานประจำอยู่ เราก็เลยโทรกลับมาญี่ปุ่น ถามเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยาให้ว่า ลูกเราผ่าตัดอะดีนอยด์ทีไทย ได้ยาแบบนี้มา สามารถทานร่วมกับยาที่ทานอยู่ได้มั้ย เจ้าหน้าที่ก็เช็คอยู่สักพัก ก็บอกว่าได้ ค่อยโล่งอกหน่อย จริง ๆ คุณหมอที่ผ่าตัดก็บอกแล้วล่ะว่าทานร่วมกันได้ แต่เพื่อความชัวร์อ่ะเนอะ


ปัญหาก็คือหลังจากผ่าตัดแล้ว ลูกเราแทบไม่ทานอะไรเลย ทั้งไอศครีม มีดื่มน้ำบ้าง แต่ดูกลืนลำบาก ๆ  น่าสงสารมาก ๆ อ่ะ แต่ก็ต้องเข้มแข็งไว้ก่อน ลูกเราจะได้ไม่ตกใจไปมากว่านี้