แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การไปโรงพยาบาล - ตรวจหรือรักษาสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การไปโรงพยาบาล - ตรวจหรือรักษาสุขภาพ แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เป็นโควิดรอบที่ 2 กับยาที่ใช้รักษาตอนอยู่ที่ญี่ปุ่น

ตอนที่ติดโควิดครั้งที่ 1 โชคดีกลับไปเมืองไทยพอดี (ตอนนั้นการรักษาโควิดที่ญี่ปุ่นค่อนข้างยุ่งยาก และเหมือนจะให้อยู่รักษาที่บ้าน) ระหว่างที่อยู่ไทย ก็เริ่มมีอาการ น้องชายก็แนะนำโรงพยาบาลของเพื่อนเขา แล้วเราทั้งครอบครัวก็ได้รักษากันที่โรงพยาบาลนั้น 

ครอบครัวเรานอนโรงพยาบาลกันอยู่ประมาณ 10 คืนได้ การดูแลก็ถือว่าดีมาก ๆ เพราะอย่างที่รู้กัน จะพยายามอยู่ใกล้ผู้ป่วยให้น้อยที่สุด ตอนนั้นก็ห้ามเยี่ยม อาหารการกิน ของใช้ ก็จะวางที่โต๊ะที่ทางโรงพยาบาลจัดวางไว้หน้าห้องผู้ป่วย 

ยาที่ได้ก็จะมียาต้านไวรัสด้วย ของทั้งสามี ตัวเรา แล้วก็ลูก

พอมาคราวนี้ ผ่านมาจะเกือบ 2 ปี ครอบครัวเราก็มาติดอีกอยู่ญี่ปุ่น  ครั้งที่ 2นี้ เริ่มมาจากสามี ลูกก็มาติด แล้วเราก็มาติด 

อาการของโควิดที่ครอบครัวเราติดครั้งที่ 2 (สามีครั้งที่ 3)

เริ่มจากสามีเจ็บคอ วันเสาร์ที่ 15 ทานยาแก้เจ็บคอที่ซื้อทานเอง ตรวจชุดตรวจทางจมูก ขึ้น 1 ขีด

วันที่ 16 อาการก็ไม่ดีขึ้น แถมเริ่มมีไข้ ตรวจชุดตรวจทางจมูก ก็ยังขึ้น 1 ขีด  

วันที่ 17 ก่อนไปทำงาน ก็เลยให้ตรวจทางจมูกอีกรอบ เพราะอาการไม่ดีขึ้น ผลคือขึ้น 2 ขีด สามีรีบโทรไปลางานเลย แล้วก็ไปโรงพยาบาล ก็ได้ยารักษาตามอาการมา 

วันที่ 21 คุณหมอบอกว่าออกจากบ้านได้ แต่ให้ใส่หน้ากากอยู่ เพราะอาจจะยังแพร่เชื้อได้อยู่

วันที่ 22 ตรวจชุดตรวจทางจมูก ก็เลยแค่ 1 ขีด ก็โอเคหายสนิทแล้ว


มาที่ลูกชาย เริ่มมีอาการวันที่ 18 จากการกระแอม เหมือนมีเสมหะ ตรวจชุดตรวจ ขึ้น 1 ขีด

วันที่ 19 กลับจากโรงเรียน เสียงเหมือนคนเป็นหวัด เริ่มมีน้ำมูก 

วันที่ 20 ลองตรวจชุดตรวจดู ขึ้น 2 ขีด เลยลาหยุดโรงเรียน พาไปหาหมอ คุณหมอก็ตรวจปอด ดูช่องปาก ก็บอกไม่เป็นไร  โชคดีที่ไม่มีไข้ คุณหมอก็ให้ยาตามอาการมา 

วันที่ 24 คุณหมอบอกสามารถไปโรงเรียนได้แล้ว ก่อนไปโรงเรียนก็ตรวจดู ขึ้น 1 ขีด ก็โอเคสบายใจ จะได้ไม่ไปติดใคร 


มาส่วนของตัวเราเอง อาการก็เหมือนจะมีเสมหะในลำคอ น่าจะพอ ๆ กับช่วงของลูกชาย แต่ตรวจดู ก็ขึ้น  1 ขีด ตรวจเกือบทุกวันก็ขึ้น 1 ขีด

มาขึ้น 2 ขีดก็วันที่ 22 ก็เลยไปหาคุณหมอ คุณหมอก็ให้ยามา ตามอาการที่เราแจ้งไป คุณหมอไม่ได้มาตรวจที่ตัวนะ ตัวเราให้รออยู่ที่รถ แล้วก็บอกอาการไป สักพักใหญ่ ๆ ก็จะมีเจ้าหน้าที่ร้านยา เอายามาให้ 

ของเราก็ไม่มีไข้ เริ่มจากคอ เหมือนจะมีเสมหะตลอดเวลา มีไอบ้างเล็กน้อย มีน้ำมูกก่อนวันขึ้น 2 ขีด มีปวดท้องที่กระเพาะ (ไม่รู้เกี่ยวกับหรือเปล่า) ปวดตามแขน ขา หลัง

ยาโควิดของเราก็ไม่มียาต้านไวรัส  จะมี 

① ピーエイ配合錠

② カルボシステイン錠500mg

③ トランサミン錠250mg

④ アスベリンドライシロップ2%

⑤ タリオンOD錠10mg

⑥ ロキソニン錠60mg

วันที่ 23 น้ำมูกเริ่มมีสีเขียวจากที่ใส  แล้วเสมหะก็เริ่มออกมาเป็นสีเขียว

วันที่ 24 คุณหมอบอกให้ออกนอกบ้านได้ แต่เราตรวจดูก็ยังขึ้น 2 ขีด อาการของน้ำมูก เสมหะก็ยังมีอยู่ แต่น้อยล่งไปนิดหน่อย 

วันที่ 25 ตรวจว่าเหลือ 1 ขีดยัง ก็ยัง 2 ขีดอยู่ มาเหลือ 1 ขีดก็วันที่ 26 สบายใจหล่ะ

มาตราการของที่ญี่ปุ่นกับโควิด ก็ดูเหมือนจะเข้มงวดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนมาก คือนับจากวันที่เริ่มมีอาการ 

วันที่เริ่มมีอาการถือเป็น 0 วัน  วันที่ 1 - วันที่ 5 ให้อยู่ในบ้าน วันที่ 6 ก็สามารถออกนอกบ้านได้ แต่คงให้ใส่หน้ากากอยู่ 





วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ ลูกชาย 9 ขวบผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอมซิลที่เมืองไทย (วันที่ผ่าตัด)

 หลังจากที่นัดคุณหมอ เอ็กซเรย์ดูว่าอะดีนอยด์เป็นยังไง สรุปก็ยังโตอยู่กว่าเด็กทั่วไป 30 % แต่เล็กลงจาก 4-5 ปีที่แล้ว ก็เลยไปคุยเรื่องค่าใช้จ่ายที่การเงิน ก็โอเคเป็นราคาที่เรารับได้ แต่แอบแพงกว่าตอนของลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องเรา แต่ก็อย่างว่าเวลาผ่านไป อะไรก็แพงขึ้น

23 กค. วันผ่าตัด

การผ่าเป็นแบบดมยาสลบ งดอาหารตั้งแต่ 8.00 น.ของวันที่ผ่า  แล้วก็ให้มาถึงที่ร.พ. 9.00 น. ลูกเราคือแทบไม่ทานอะไรเลย เพราะกลัวการไปร.พ. ก็เท่ากับว่าเมื่อวานก็ไม่ได้ทาน วันนี้ก่อนผ่าตัดก็ไม่ทานอีก เรากังวลมาก ก็ไม่รู้จะทำยังไง พอได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว ลูกเราผ่า 16.00 น. ก็เปลี่ยนเป็นชุดของร.พ. แล้วก็รอที่ห้องผู้ป่วย สักพักพยาบาลเอาน้ำแดงมาให้ดื่ม บอกคุณหมอบอกให้ดื่มไว้ก่อน เราก็เลยเอะใจเพราะได้ยินมาว่าต้องงดไม่ใช่เหรอ พยาบาลก็บอกว่า เป็นสไตล์ของคุณหมอท่านนี้ ว่าจะให้ดื่มก่อน ก็โอเค พอจะมีอะไรรองท้องนิดนึง 

พอถึงเวลาผ่า ก็พาไปดมยาสลบ ลูกเราขัดขืนอย่างแรง แต่พอยาออกฤทธิ์  นิ่งตาค้างเลย เราตกใจมาก ตัวไม่ขยับ ตาค้าง เราหน้าซีดเลย จะเป็นอะไรหรือเปล่า พยาบาลก็บอกว่าไม่เป็นไร เป็นแบบนี้กันทุกคน เพราะยาเริ่มออกฤทธิ์แล้ว  แล้วก็พาเข้าห้องผ่าตัด แม่เข้าไปด้วยไม่ได้ ก็รออยู่ห้องข้าง ๆ ใช้เวลาผ่าตัด 30 นาที ระหว่างนั้นภาวนาอย่างเดียวเลยขอให้ปลอดภัย ๆ  พอผ่าตัดเสร็จคุณหมอก็ออกมา แล้วก็บอกว่าต่อมทอมซิลก็โตนะ เลยตัดออกไปด้วย เดี๋ยวจะมีพยาบาลถือมาให้ดูที่ตัดไป จะถ่ายรูปก็ได้ เพราะเขาจะต้องส่งที่ตัดไปตรวจอีกว่าปกติ หรือผิดปกติหรือเปล่า 

ต่อมที่ตัดไป เราก็ถ่ายรูปมาเหมือนกัน แต่คงลงให้ดูไม่ได้ เพราะอ่ะนะ อวัยวะภายใน 

พอยาสลบเริ่มหมดฤทธิ์ หลังจากผ่าแป๊ปนึง ยังไม่ได้ออกจากห้องผ่าตัด พอลูกเรารู้สึกตัว โวยวายร้องเสียงดังลั่นร.พ. เลย เสียงร้องก็ผิดจากเดิม เหมือนจะทุ้ม ๆ พูดฟังไม่ชัด ร้องแต่บอกว่า "ตา ๆ " ก็ถามพยาบาล ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า พยาบาลก็บอกว่า มีการป้ายยาที่ตาด้วย เพราะตอนผ่าตัดจะร้อนมากเลย ระวังเรื่องตา เพราะฉะนั้นตาก็จะพร่า ๆ สักพักนึง แล้วพยาบาลก็เอาสำลีชุบน้ำเกลือเช็ดเปลือกตา ก็เหมือนจะดีขึ้น  แต่ร้องตลอด คุณหมอก็กังวลว่าจะมีเลือดออกด้านในหรือเปล่า เพราะสียงร้องดังมาก กลัวไปกระเทือนกับแผลที่ผ่าตัด ก็โอเคไม่มีเลือดออก 

แล้วคุณหมอก็มีมาบอกให้ทำ 3 ข้อนี้หลังจากผ่าตัด เราจำได้แค่ 2 ข้อ

1. ทานของเย็นอย่างไอศครีม โยเกริ์ต ข้าวต้ม โจ๊ก  ถ้าเป็นของร้อนอยู่ก็ปล่อยให้เย็นก่อน แล้วก็บี้ให้เละ ๆ  ของทอดงด  อาหารปกติยังทานไม่ได้ ให้ทานของอ่อน ๆ 

2. ดุแลช่องปากให้สะอาด บ้วนปากด้วยน้ำเกลือ  ถ้ามีเลือดออก น้ำที่บ้วนก็จะเป็นสีแดง ก็ให้ติดแจ้ง ร.พ. 

ข้อ 3 จำไม่ได้อ่ะ

หลังจากนั้นก็เป็นช่วงพักฟื้นที่ห้องคนไข้ นอนค้างที่รพ. 1 คืน มีให้ทานยาแก้ปวด  แล้วก็จะคอยเอาเจลแช่เย็นมาประคบที่ลำคอ ช่วยลดการอาการเจ็บ 

ยาที่ได้หลังจากผ่าตัด 

ยาฆ่าเชื้อ 3 มื้อ ทาน 3 อาทิตย์ (24 กค. - 13 สค.)

ยาห้ามเลือด 3 มื้อ ทาน 10 วัน 

ยาแก้แพ้ ทาน 2 มื้อ เช้ากับเย็น ทาน 10 วัน

นอกนั้นเป็นยาตามอาการ  ยาแก้ปวด ยาแก้ไอแบบน้ำ

ลูกเราก็มียาที่ทานประจำอยู่ เราก็เลยโทรกลับมาญี่ปุ่น ถามเจ้าหน้าที่ที่จ่ายยาให้ว่า ลูกเราผ่าตัดอะดีนอยด์ทีไทย ได้ยาแบบนี้มา สามารถทานร่วมกับยาที่ทานอยู่ได้มั้ย เจ้าหน้าที่ก็เช็คอยู่สักพัก ก็บอกว่าได้ ค่อยโล่งอกหน่อย จริง ๆ คุณหมอที่ผ่าตัดก็บอกแล้วล่ะว่าทานร่วมกันได้ แต่เพื่อความชัวร์อ่ะเนอะ


ปัญหาก็คือหลังจากผ่าตัดแล้ว ลูกเราแทบไม่ทานอะไรเลย ทั้งไอศครีม มีดื่มน้ำบ้าง แต่ดูกลืนลำบาก ๆ  น่าสงสารมาก ๆ อ่ะ แต่ก็ต้องเข้มแข็งไว้ก่อน ลูกเราจะได้ไม่ตกใจไปมากว่านี้

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ ลูกชาย 9 ขวบผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอมซิลที่เมืองไทย (่ก่อนผ่าตัด)

 ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนว่าเราสงสัยว่าลูกเราจะต่อมอะดีนอยด์โตหรือเปล่า เพราะลูกเราพัฒนาการช้าตั้งแต่เล็ก ก็เลยหาข้อมูลของญี่ปุ่นว่าเราจะช่วยเรื่องพัฒนาการของลูกเรายังไง ก็มีข้อมูลทางเน็ตว่าอาจจะเกี่ยวกับต่อมอะดีนอยด์โตด้วย ก็เลยเอาเรื่องนี้ไปถามคุณหมอหู คอ จมูกที่ญี่ปุ่น คุณหมอที่นี่ก็บอกว่าเด็กยังเล็กเกินไป (4 ขวบ) แล้วเด็กเล็ก ๆ ก็จะมีต่อมอะดีนอยด์โตอยู่แล้ว พอโตขึ้นสัก 10 ขวบก็จะเล็กลง ปกติเอง ก็คือคุณหมอเขาไม่ตรวจให้อ่ะนะ เลยลองหาข้อมูลทางไทยดู โชคดีมากที่ลูกสาวของลูกพี่ลูกน้องเราเขาก็เคยผ่าตัดตอน 5 ขวบมาแล้ว เลยแนะนำโรงพยาบาล และคุณหมอมาให้ 

ปีนั้นพอกลับมาที่ไทย ก็พาลูกเรา (4 ขวบ) ไปโรงพยาบาล แล้วก็ระบุคุณหมอท่านนั้นด้วย คุณหมอเข้าเย็น ก็มาได้ตรวจอีกทีก็เกือบ 1 ทุ่ม ผลเอ็กซเรย์ คุณหมอบอกว่าโตจริง น่าจะได้รับการผ่าตัด แต่เราอยู่ไทยแค่ 10 วัน ก็เลยคุยกับคุณหมอให้ออกใบรับรองแพทย์ให้ เผื่อจะได้มาคุยกับคุณหมอที่ญี่ปุ่นเรื่องการผ่าตัด่ต่อ คุณหมอที่ไทยก็เลยให้ยาปฏิชีวนะมา 1 เดือน  แล้วก็บอกว่าถ้าทานยาแล้วยุบลงก็ไม่จำเป็นต้องผ่า ก็ลองไปเอ็กซเรย์ที่ญี่ปุ่นดู

พอกลับมาที่ญี่ปุ่น พอครบเดือนยาที่ไทยหมด ก็หาโรงพยาบาลที่เขาดูเรื่องต่อมอะดีนอยด์ แถวบ้านเราไม่มี ต้องนั้งรถไฟไปอีก 2 สถานีถึงจะมี  ที่นี่เป็นอะไรที่เข้าโรงพยาบาลรักษายากมาก ถ้าไม่มีใบรับรองแพทย์มา ที่ยากมาก ๆ เพราะเขาจะไม่รับคนไข้ต่อจากที่อื่น โชคดีที่เรามีใบรับรองมาจากที่ไทย ก็เลยได้เข้ารักษา (ของเด็กที่ญี่ปุ่นจะรักษาฟรี)   ก็เลยให้คุณหมอที่ญี่ปุ่นดู CD ของฝั่งไทย เขาก็บอกว่าโต ก็เลยให้ไปเอ็กซเรย์อีกครั้ง ก็สรุปว่าโต ก็เลยได้รับการรักษาต่อเนื่อง แต่หมอที่ญี่ปุ่นยังไงก็ไม่ยอมผ่าตัดให้ บอกลูกเรายังเล็ก (คิดอยู่เลย แล้วทำไมที่ไทยเขาผ่าตัดให้ได้ เซ็ง)

สรุปก็ให้ทานยาปฏิชีวนะไปเรื่อย ๆ 3 เดือน แล้วก็ไปตามนัด (ยาหมด) ทานยาตัวนี้เป็นปี ก็เปลี่ยนเป็นยาแก้แพ้ ก็ให้แต่ยาแก้แพ้มาตลอด 3 ปี ก็คือจากวันที่ไปเอ็กซเรย์ที่ไทย ก็ทานแต่ยามาตลอดเกือบ 5 ปี  เคยถามเรื่องการผ่าตัด คุณหมอก็จะอ้างเหตุผลว่าลูกเรายังเล็ก แล้วอีกอย่างอยู่ไม่นิ่งด้วย ตอนผ่าตัดอาจจะมีปัญหา แล้ววันนึงคุณหมอญี่ปุ่นก็มาบอกว่าไม่ต้องนัดมาแล้วก็ได้นะ ถ้ามารับแต่ยา สามารถไปยาที่คลินิคแถวบ้านก็ได้ อ้าว คือจะไม่ดูให้แล้วใช่มั้ย

ต่อมอะดีนอยด์โต เนี่ย (รู้สึกโมโห) ช่วงก่อนหน้านั้นก็ติดโควิด ไม่ได้กลับไทย 3 ปี ถ้าไม่ติดโควิด คงได้พาลูกเราไปตรวจและผ่าตัดที่ไทยเร็วกว่านี้แล้ว

จบที่มาของการรู้ว่าลูกมีต่อมอะดีนอยด์โต  

พอได้แพลนกลับเมืองไทย เราก็ติดต่อกับโรงพยาบาลว่าจะต้องนัดล่วงหน้าหรือเปล่า โชคดีที่มาตรการโควิดเริ่มคลายความเข้มงวดแล้ว ก็เลยไม่ต้องนัดล่วงหน้า พยาบาลบอกว่า Walk in เข้ามาได้เลย ช่วงนั้นเราโทรถามกับโรงพยาบาล เป็นระยะ ๆ ว่าคุณหมอจะเข้ามั้ยวันนี้ เพราะเรามีเวลาจำกัด อย่างมากสุดก็ 3 อาทิตย์เอง (ช่วงลูกปิดเทอมหน้าร้อน) 

ก็เลยแพลนว่าปิดเทอมปุ๊บ วันรุ่งขึ้นก็เดินทางเลย แต่เราไม่บอกให้ลูกเรารู้นะว่าจะพาเขาไปผ่าตัด เพราะเดี๋ยวเขาจะกังวล จะไม่ให้ความร่วมมือ 

วันก่อนผ่าตัด (22 กค.)

พอลูกเรารู้แล้วว่าพามาที่โรงพยาบาล ความอยากอาหารก็ไม่มีเลยทั้งวัน  ไม่ค่อยทานอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่จะต้องทานให้อิ่ม เพราะก่อนผ่าตัดต้องอดน้ำ อดอาหารหลายชั่วโมง  พอเจอคุณหมอ ก็พาไปเอ็กซเรย์  ก็ปรากฏว่ายังโตอยู่ แต่เล็กลงกว่าเมื่อ 4 - 5 ปีที่แล้ว แต่ก็ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ใหญ่กว่าเด็กทั่วไป 30 % แล้วก็เหมือนว่าต่อมทอมซิลก็โตด้วยนะ ถ้าผ่าตัดก็จะดูให้ว่าทอมซิลโตหรือเปล่า ถ้าโตก็จะผ่าออกเลยทีแล้ว จากนั้นคุณหมอก็ให้ไปเช็คค่าใช้จ่ายกับการเงิน แล้วก็คุย ๆ เตรียมผ่าตัดวันรุ่งขึ้นเลย ่ของลูกเรา ผ่าเวลา 16.00 น. แต่ให้งดอาหารตั้งแต่ 8.00 น. แล้วก็ให้มาถึง รพ. 9 .00 น. 

การเตรียมตัวเพื่อเข้ารับการผ่าตัด



วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ (ยังให้นมเจ้าหนูอยู่)

เข้าหน้าหนาว โรคไข้หวัดก็จะระบาด เลยไปฉีดกันไว้ก่อน กลัวเจ้าหนูติดไป (เจ้าหนูก็กะให้ฉีดเหมือนกันแต่ต้องรออีก 4 สัปดาห์แหนะ) ส่วนคุณซูก็เดี๋ยวที่บริษัทมีฉีด เราก็เลยไปฉีดเลย แต่ต้องไปกรอกแบบฟอร์มจองการฉีดที่รพ. (ไม่รับจองทางโทรศัพท์ แปลกดี)จองวันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ไปฉีดได้
สิ่งที่ต้องนำไปด้วย
-บัตรคนไข้
-บัตรประกันสุขภาพ
-ใบที่เขียนจองการฉีด

ก่อนที่จะฉีดเราก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังให้นมเจ้าหนูอยู่ ก็เลยถามเจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าฉีดได้ ค่อยโล่งอกหน่อย

พอฉีดเสร็จก็รอดูอาการ 30 นาที จากนั้นก็กลับบ้านได้


ค่าใช้จ่าย 3,780 เยน

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

ดูแลเจ้าหนูเป็นหวัดมีน้ำมูก ไอ แต่ไม่มีไข้ โดยไม่ต้องพาไปหาหมอ

ตอนนี้ที่นี่ฝนตกเกือบทุกวันเลย แล้วก็คงไปติดกับเด็กอีกคนนึงมา เพราะเด็กคนนั้นก็เป็นหวัดมีน้ำมูกไหล เจ้าหนูเลยเป็นตามด้วยเลย 555
เจ้าหนูมาเริ่มเป็นวันที่ 5 ก.ย. มาหายสนิท ๆ แบบไม่มีน้ำมูกแล้วก็วันที่ 14 ก.ย. รวมแล้วก็ประมาณ 10 วัน  ก็มีคิดนะว่าจะพาไปหาหมอดีมั้ย เพราะน้ำมูกไหลเยอะขึ้น ขนาดดูดออกให้ก็แล้ว แต่ก็รอดูอาการดีกว่า เพราะเจ้าหนูกินยาหวัดนี่เยอะแล้ว

เราก็มีดูแลโดยการดูดน้ำมูกก่อนที่จะให้ดูดนม กับตอนที่เห็นว่ามีน้ำมูกไหลออกมา โดยใช้ตัวนี้ช่วยดูด

แล้วก็มีทาวิคส์ให้ที่หน้าอก หลัง คอ แล้วก็ตรงจมูก ดูเจ้าหนูหายใจได้คล่องขึ้น
ช่วงนี้ก็พยายามอาบน้ำให้เจ้าหนูน้อยลง แต่พอเห็นคัน ๆ หัว เกาหัวบ่อยขึ้นก็มีอาบให้วันนั้น แล้วก็เว้นไม่อาบให้ไปประมาณ 2 - 3 วัน  อาศัยเช็ดตัวเอา

เห็นเล่นได้ กินได้ปกติเลยไม่ค่อยน่าเป็นห่วงเท่าไหร่



วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เจ้าหนูโดนเจาะเลือดเป็นครั้งแรก

เจ้าหนูจะมีปัญหาเรื่องผิวหนังมาตั้งแต่ตอนประมาณ 6 เดือน ลักษณะจะผิวสาก ๆ อย่างช่วงที่น้ำลายเยอะ ก็จะเป็นผื่นน้ำลาย เหงื่อออกก็จะเป็นผดผื่น หรือผิวแห้งช่วงหน้าหนาวก็เป็นผดผื่นอีก
ก็เลยพาไปรพ. คุณหมอก็ให้ยามาทา ก็จะเป็นพวกสเตรอยด์ ไม่อยากจะใช้เท่าไหร่ แต่ก็ต้องใช้ เพราะเจ้าหนูคงคัน นอนดิ้นไปดิ้นมา จะเป็น ๆ หาย ๆ เป็นก็ทา หายก็หยุด
จนมาวันที่ 3 ส.ค.  น่าจะผดหน้าร้อนมั้งนะ เจ้าหนูก็เป็นอีก คราวนี้เป็นเยอะเชียว นอนดิ้นไปดิ้นมา ก็เลยพาไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่หมอประจำที่เคยรักษา หมอใหม่ก็บอกว่าเหมือนจะเป็นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็น Atopy ก็ให้ยามาทา เราก็ถามถึงระยะเวลาในการทา + ยากิน (ยากินให้มา 14 วัน วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเย็น) หมอคนนี้ก็บอกว่าทาไปเรื่อย ๆ จนกว่าผิวจะลื่น ๆ เนียน ๆ เพราะถ้าหยุดทาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ดีขึ้นจริง ๆ ก็จะเป็น ๆ หาย ๆ
พอครบ 1 อาทิตย์ก็พาไปให้หมอดูอาการ หมอบอกดีขึ้นแต่ให้ทาไปเรื่อย ๆ แล้วอาทิตย์หน้ามาดูกันใหม่ ว่าจะลดจำนวนครั้งที่ทาหรือว่าจะให้ตัวยาที่อ่อนกว่านี้
แต่หมอก็บอกว่าให้เจาะเลือดดูด้วยว่าแพ้อะไรหรือเปล่า วันนี้เจ้าหนูเลยโดนเจาะเลือดเป็นครั้งแรก หมอ (หมอที่เจาะเป็นหมอรักษาเด็ก) ถามว่าอยากรู้กรุ๊ปเลือดด้วยมั้ย แต่ต้องจ่ายเพิ่ม 2000 เยน (ที่ญี่ปุ่น เด็กไปหาหมอจะไม่เสียค่าใช้จ่าย) เราก็โอเค ไหน ๆ ต้องเจาะแล้วนี่หน่า เจ็บทีเดียว
ตอนเจาะเขาไม่ให้เราอยู่ด้วย ปิดประตู ได้ยินเสียงเจ้าหนูร้องไห้ แล้วอยากร้องไห้ตาม น่าสงสารอ่ะ ออกมาหน้าแดง น้ำมูกน้ำตาไหลเยอะมาก
ส่วนผลก็ต้องรออาทิตย์หน้า

หลังจากเจาะเลือดแล้ว พากลับบ้าน ที่แขนเป็นจ้ำ ๆ คงเพราะเจ้าหนูดิ้นมากมั้งนะ รอยแดง ๆ เต็มเลย






วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ยาพ่นสำหรับตอนเจ็บคอ (ให้นมลูกอยู่ก็ใช้ได้)

มีช่วงนึงเป็นหวัดนานมาก ๆ มีทั้งน้ำมูก เสมหะ แบบสีเขียว ๆ เลยอ่ะ
คุณซูเลยให้ลองใช้ยาตัวนี้พ่นที่ลำคอด้านในปากดู


แต่เราไม่แน่ใจว่าช่วงให้นมอยู่จะใช้ยานี้ได้เปล่าเลยเอาไปถามเภสัชกร เขาบอกว่าใช้ได้แต่ไม่ควรใช้เป็นระยะเวลานาน  เขาเลยแนะนำตัวนี้มาแทน ตอนให้นมอยู่ก็ใช้ได้






ใช้แล้วก็ดีขึ้น แต่ไม่ถึงกับหายสนิท แต่ใช้ได้บ่อยเลยค่อยโล่งอกหน่อย





วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

พาเจ้าหนูไป ร.พ. (ขยี้ตา จมูกบ่อย, ท้องเสีย (อาจจะยืดตัว)

เจ้าหนูอยู่ดี ๆ ก็ท้องเสีย เป็นตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. กว่าจะหายก็วันที่ 2 ก.ค. (2 อาทิตย์กับ 2 วัน) แต่ยังร่าเริง กินปกติ เราเลยไม่ซีเรียสเท่าไหร่ แต่มีชอบขยี้ตากับจมูกบ่อยมาก เลยพาไปหาหมอดีกว่า
หมอก็ให้ยากินกับยาทาก้นมา เพราะก้นเริ่มแดง (ถ่ายมาก ตอนกลางคืน กลางดึกก็ถ่าย)

ลักษณะของอึของเสีย อาจจะไม่น่าดู แต่ขอเก็บเป็นข้อมูล





วันจันทร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2558

กินยาหวัด แต่ก็ยังให้นมอยู่




ยาหวัดตามรูปด้านบน คุณหมอจัดมาให้สำหรับ 7 วัน ตอนแรกที่เป็นไปหาหมอที่รพ. หนึ่ง เขาจัดเป็นแบบผง (ยาจีน) มาให้ เพราะเราบอกว่ากำลังให้นมลูกอยู่ คุณหมอที่รพ.นั้นเลยจัดให้ได้แค่ยาจีน กินก็ไม่หาย อาการหวัดที่เราเป็นคือไม่มีไข้ จะปวดหัวแบบปวดเมื่อย มีน้ำมูก มีเสมหะตลอดเป็นสีเขียว
เลยต้องลองเป็นรพ. ดู ก็ไปรพ. ที่คลอดเจ้าหนู เขาก็จัดยามาให้ตามรูปด้านบน คุณหมอบอกว่าให้นมลูกอยู่ก็สามารถกินได้  พอกินได้สักพักอาการก็ดีขึ้นหละ


วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2558

วิธีกินยาทุก 8ชั่วโมง (ต้องปลุกขึ้นมากลางดึกมั้ย?)

ถ้าเป็นยาสำหรับตัวเองที่เขียนว่าให้กินก่อนอาหารทุกๆ.8 ชั่วโมง.เราก็คงไม่ซีเรียสมาก.แต่่สำหรับทารก.เราก็ค่อนข้างซีเรียสมาก.เจ้าหน้าที่บอกมาให้กินทุก ๆ.8 ั่วโมง. ซึ่งจะติดกลางดึก.ตอนแรกก็จะปลุกเจ้าหนูขึ้นมากินยา. แล้วยานี่เป็นยาก่อนอาหาร.ก็ต้องกินก่อนกินนม.30นาที. ก็ให้เจ้าหนูรอกินนมอีก.30นาที. เรารู้สึกว่าเป็นการทำให้เจ้าหนูนอนไม่พอซะมากกว่า. เลยลองโทรไปปรึกษาที่โรงพยาบาลเกี่ยวกับวิธีกินยานี้. เขาบอกว่าไม่ต้องปลุกขึ้นมากลางดึกก็ได้. ให้กินเว้นจากครั้งที่แล้ว.6-8ชั่วโมง.(แล้วทำไมไม่เขียนที่สลากว่า6-8 เล่นเขียนแค่.8)  เจ้าหน้าที่บอกว่าอยากให้ใน 1.วันกิน.3 ครั้ง. โดยอาจจะแบ่งช่วงเป็นกิน.8โมงเช้า. ครั้งที่.2 กินบ่าย.2  แล้วครั้งที่.3 ก็ให้กินตอน.2 ทุ่ม.  พอรู้แบบนี้โอเคขึ้นเยอะ.เจ้าหนูก็หลับนานขึ้น.คงเพราะฤทธิ์ยา

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ระบบโรงพยาบาลแถว ๆ บ้าน

ระบบโรงพยาบาลของที่นี่.ถ้าเป็นคนไข้ใหม่ก็จะมีกรอกประวัติ. หลังจากนั้นก็จะได้บัตรผู้ป่วยมา. โรงพยาบาลนี้จะเป็นแบบบัตรระบบชิพ. เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องเก็บไว้เป็นอย่างดี.เพราะมีเรื่องของข้อมูลส่วนตัว. พอจะมารักษาครั้งต่อไปถ้าครั้งที่แล้วถึงจะจองวันกับเวลาไว้แล้ว.เราก็ต้องไปรับบัตรคิวก่อน.ซึ่งต้องไปรับภายใน11:30 โดยวิธีการก็คือ.สอดบัตรผู้ป่วยเข้าที่เครื่อง.หน้าจอก็จะขึ้นว่าได้จองวันนี้เวลานี้. ก็ให้กดปุ่มยืนยัน. กระดาษที่แสดงหมายเลขคิวก็จะออกมา.
แต่ถ้าไม่ได้จองไว้.ก็สอดบัตรที่เครื่อง.หน้าจอก็จะขึ้นว่ามารักษาที่แผนกอะไร. ก็กดปุ่มแผนกนั้น.แล้วหน้าจอยืนยันก็จะขึ้นมา.เราก็กดไป. กระดาษที่แสดงเลขคิวก็จะออกมา. ซึ่งกระดาษคิวนี้ต้องเก็บไว้ตลอด.เพราะพอตรวจเสร็จ.เราก็ยื่นแฟ้มเอกสารที่คุณหมอตรวจแล้วให้กับเค้าท์เตอร์ติดต่อสอบถาม. แล้วเราก็ต้องดูหน้าจอว่ามีเลขคิวเราขึ้นเปล่า.ถ้าขึ้นก็ไปต่อแถวจ่ายเงิน. 

โรงพยาบาลที่นี่คือต้องรู้เวลาว่ากี่โมงถึงกี่โมงรับหมายเลขคิว. มีตรวจวันไหน. ตรวจกี่โมงถึงกี่โมง. เพราะถ้าเราไม่รู้รายละเอียดพวกนี้.ก็จะไปเก้อ. อย่างเราไปเก้อมา.2ครั้งละ ><

พอจ่ายเงินเสร็จ. ถ้ามียาด้วยจะไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาล. แต่จะมีใบสั่งยาให้เราไปยื่นที่ร้านที่รับใบสั่งยา. ทางร้านก็จะจ่ายยาให้แล้วเราก็จ่ายค่ายา. แล้วถ้ายังไม่มีสมุดประวัติการใช้ยาทางร้านก็จะให้ฟรี. แล้วครั้งต่อไปก็ต้องพกไปด้วยทางร้านจะได้แปะรายการยาลงในสมุดให้.

ยาที่ได้มาก็จะมีใบกำกับของยาแนบเป็น.A4 มาให้ด้วย.จะมีรูปยาชื่อยา.สรรพคุณ. การใช้.มาให้ด้วย
ถ้ายาหมด.เราจะไปซื้อเองไม่ได้อีก. ต้องมีใบสั่งยาจากหมอ. ซึ่งก็คือต้องไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
ระบบเยอะเนอะโรงพยาบาลที่นี่

อ้อลืมพิมพ์. มีจองตอนเย็นก็ต้องไปรับคิวก่อน.11:30 รับแล้วไปทำธุระก่อนแล้วค่อยมาตรวจ.

ป.ล. โรงพยาบาลแต่ละที่ ระบบอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นะ.

วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2557

ได้รับคูปองตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรีจาก Health Center ของสำนักงานเขต (保健センターから子宮頚がん検診の無料クーポン券が届いた)

เราได้รับจม. จาก Health Center ของสำนักงานเขต ตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. ล่ะ แต่ยังไม่ได้มาดูรายละเอียดว่าเป็นอะไร ตอนแรกเข้าใจว่าเป็นจม. แจ้งเกี่ยวกับเรื่องการอบรมคอร์สคุณแม่ซะอีก

มาดูอีกทีข้างในซองก็มีคูปองให้ไปตรวจมะเร็งปากมดลูกฟรี 1 ครั้ง ประจำปี 2557
สำหรับคนที่ไปตรวจแล้วก่อนหน้าที่จะได้รับคูปองนี้  ในจม. บอกว่าจะไม่สามารถใช้คูปองฟรีนี้ไปตรวจซ้ำได้  ค่าใช้จ่ายในการตรวจที่จ่ายไปแล้ว ให้ติดต่อสอบถามกับทาง Health Center ดู อาจจะได้คืนมั้งนะ เราว่า

หน้าตาของจม. ส่วนนึงจะประมาณนี้


การตรวจจะมีแบบตรวจเดี่ยว กับตรวจเป็นกลุ่ม แล้วแต่เราจะเลือก สำหรับคนที่จะตรวจเดี่ยว เขาก็ให้เราติดต่อกับโรงพยาบาลที่ระบุมาโดยตรง และในวันตรวจก็จะต้องนำ
1. คูปองตรวจฟรี
2. บัตรประกันสุขภาพ
3. สมุดสุขภาพ (สำหรับคนที่มี)
ไปด้วย เพราะถ้าใครลืมไม่ได้นำไป จะไม่ได้รับการตรวจ
และสำหรับการตรวจเดี่ยวนี้ ถ้าคุณหมอเขาพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นต้องตรวจมะเร็งมดลูก ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเจ้าตัวจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง
และผลการตรวจให้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลที่ไปตรวจเอง เพราะทางสำงานเขตจะไม่ได้เป็นผู้แจ้งผลการตรวจ

ส่วนถ้าจะตรวจเป็นกลุ่มจะตรวจที่  Health Center  ตามวันและเวลาที่เขากำหนด แล้วก็ต้องโทรไปจองล่วงหน้าก่อนด้วย เพราะเขาจะรับจำนวนจำกัด

ปีที่แล้วที่เราเพิ่งมาอยู่ที่ญี่ปุ่น ยังไม่ได้รับจดหมายแบบนี้  แต่ปีนี้ถึงได้รับคงต้องดูก่อนว่าจะไปตรวจดีหรือเปล่า เพราะนี่ก็มีจดหมายให้ไปตรวจสุขภาพของทางบริษัทคุณซูส่งมาให้ที่บ้านแล้ว
เราเคยไปตรวจของบริษัทคุณซูเมื่อปีที่แล้วมา มีตรวจอะไรบ้าง ตามรายละเอียดนี้เลย

http://jipathajapan.blogspot.jp/2013/09/blog-post_30.html

ที่ญี่ปุ่นนี่ใส่ใจกับเรื่องสุขภาพเนอะ ดีเหมือนกัน ^^



 




วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ไปโรงพยาบาลมา (病院へ行ってきました。)

วันนี้ไปโรงพยาบาลมา เพราะเมื่อวานลื่นตกจากบันได โชคดีที่แค่ 3 ขั้น ไม่งั้นคงเจ็บมากกว่านี้
การมาโรงพยาบาลของที่ญี่ปุ่นสิ่งที่เราจะต้องนำไปด้วยก็คือ
1. บัตรผู้ป่วย
2. บัตรประกันสุขภาพ
3. สมุดยาประจำตัว

今日は病院へ行ってきました。なぜなら昨日3段目の階段から転んだからです。
幸い3段目からだったのでもっと高いところならもっと痛いでしょう。
日本の病院へ行くたびに持っていかなければならないものは:
1. 診察券
2. 健康保険証
3. 薬手帳

พอไปถึงเราก็หยอดบัตรผู้ป่วยของเราลงในกล่องที่วางไว้ตรงประชาสัมพันธ์ ครั้งนี้เป็นเกี่ยวกับเจ็บหลัง ก็เลยหยอดที่กล่องแผนกศัลยกรรมกระดูก ถ้ามาตรวจตาก็หยอดที่กล่องแผนกตา เป็นต้น (โรงพยาบาลแต่ละที่อาจจะไม่เหมือนกันก็ได้นะคะ)
จากนั้นก็รอเจ้าหน้าที่เรียก แล้วก็ยื่นบัตรประกันสุขภาพ เพราะถ้ามีบัตรนี้ เราจะรับภาระค่ารักษาประมาณ 30 % ส่วนที่เหลือรู้สึกว่าบริษัทคุณซูจะเป็นคนรับผิดชอบมั้งนะคะ
และเจ้าหน้าก็จะอธิบายว่าสำหรับการมารักษาครั้งแรกจะมีค่าใช้จ่าย 1500 เยนที่เราจะต้องจ่ายเพิ่มด้วย
เราก็เลยคุยกับคุณซูว่าเคยจ่ายแล้วนี่หน่า คุณซูก็บอกว่าตอนนั้นมาตรวจของแผนกตา วันนี้มาตรวจแผนกอื่นเป็นครั้งแรกก็เลยมีค่าใช้จ่ายนี้ (เศร้า)

病院に着いたら受付に置いてある箱に診察券を入れます。今回は背中の痛みですので、整形外科の箱に。もし目の診察するなら眼科の箱に入れます。(病院のやり方によると思います。)
そして、呼ばれるまで待ちます。呼ばれたら健康保険証に渡します。保険証があれば治療費の30%は自己負担になります。残りは主人の会社が負担してくれるでしょう。
後、今回は初めて診察するので1500円も負担することについて説明されました。
主人に前回も払ったっけと話したら、今回は科が違うので初診として見られるからと主人が説明しました。(泣)



ครั้งนี้เราต้องไปเอ็กซเรย์หลังด้วย หลังจากที่เอ็กซเรย์เรียบร้อยก็รอพบคุณหมอ คุณหมอไม่พูดอะไรมาก แค่บอกว่าให้แปะที่หลัง แล้วก็ช่วงนี้อย่าเพิ่งลงแช่น้ำร้อน ให้อาบฝักบัวไปก่อน เราก็เลยบอกว่ามีปวดที่ท้องด้านขวาด้วยค่ะ คุณหมอเลยบอกว่ายังงี้ต้องไปตรวจที่แผนกท้องนะ อ้าวเป็นยังไป เราก็เลยรอดูอาการก่อน ถ้าไม่ดีขึ้นค่อยไปหาหมอแผนกท้อง

今回は背中のレントゲンを撮りました。撮った後お医者さんに会ってお医者さんはそんなに説明しませんでした。背中に貼って、しばらくお風呂に入らないでシャワーで浴びてくださいと。私は右側のお腹も痛いだと言ったらお医者さんにお腹だったらお腹のお医者さんに診てもらうと言われました。そうですかと。私達はしばらく様子を見て良くならなかったらお腹のお医者さんに診てもらうことにします。

มารอจ่ายเงิน รอประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าได้ คนเยอะมาก วันนี้เสียค่ารักษาไป 4010 เยน แล้วก็ได้ใบเสร็จรับเงินกับใบสั่งยามา ซึ่งเราต้องเอาใบสั่งยานี้ไปซื้อยาที่อื่นที่เขาเขียนหน้าร้านว่ารับจ่ายยา

支払を30分ぐらい待ちました。患者が多かったです。今日の治療費は4010円でした。領収書と処方箋をもらいました。この処方箋を受ける薬屋に持って行きました。

ก็มารอซื้อยาอีกประมาณ 20 นาที ตอนที่ยื่นใบสั่งยาก็ให้ยื่นสมุดยาประจำตัวเราด้วยนะคะ เพราะทางร้านจะได้แปะประวัติการใช้ยาของเราลงไป

また20分ぐらい待ちました。処方箋を出す時に薬手帳も出します。なぜかというと薬屋はその人が使う薬の詳細を貼ってくれるからです。

รูปล่างนี้เป็นสมุดยาประจำตัวนะคะ ลวดลายแล้วแต่คะ (ขอบคุณรูปจาก Google) ในส่วนของเราครั้งแรกที่มาซื้อยา เราก็บอกกับทางร้านว่าไม่มีสมุดยา ขอสมุดยาด้วยนะคะ

下の写真は薬手帳です。模様はそれぞれがあります。(写真はGoogleによる)
私の分は最初に買った時に薬手帳もくださいと薬屋に頼みました。


ทางร้านจะแปะประวัติการใช้ยาประมาณนี้ค่ะ (ขอบคุณรูปจาก Google) ก็จะเหมือนเป็นการเก็บประวัติการใช้ยาของเราตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันค่ะ

使う薬の詳細は下の写真のよう物です。(写真はGoogleによる)
過去から最近まで使った薬歴になっていますね。



ครั้งนี้ยาที่ได้มาก็จะเป็นแผ่นแปะแก้ปวด ลดอาการอักเสบ

今回の薬はこれです。鎮痛 抗炎症剤。







ส่วนค่ายาครั้งนี้ก็ 780 เยนค่ะ ได้แผ่นนี้มา 35 แผ่น

薬代は780円でした。35枚もらいました。









วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลของญี่ปุ่น

วันนี้เป็นวันตรวจร่างกาย
คุณซูต้องไปทำงาน เราก็เลยไปตรวจคนเดียว
การเดินทางก็ไม่ค่อยลำบากอะไร แผนที่รถไฟละเอียดมาก ๆ แต่แผนที่จากสถานีไปโรงพยาบาล เราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ก็เลยถามคนแถวนั้น

ไปถึงโรงพยาบาล 8.20 น. ก็เข้าไปลงชื่อ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะเรียกตามลำดับชื่อ

ขั้นแรกเลยจะให้ไปวัดความดัน กับชีพจร (血圧測定) จะมีเครื่องวัดอยู่ใกล้ ๆ เราวัดเสร็จแล้วก็จดตัวเลขไปให้เจ้าหน้าที่

จากนั้นก็จะให้ไปเก็บปัสสาวะ (尿検査)คงตื่นเต้นมั้งที่ต้องมาตรวจคนเดียวก็เลยเก็บได้นิดเดียว สรุปก็คือต้องเก็บใหม่หลังจากตรวจทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย
มีคนญี่ปุ่นมาถามเราด้วยว่าหลังจากเก็บเสร็จแล้วให้เอาแก้วไปวางไปที่ไหนนะ ที่ห้องน้ำ หรือว่าเค้าท์เตอร์ จริงๆ เราก็ฟังไม่ทันกะจะดูคุณอยู่พอดี (นึกในใจนะ) ก็เลยบอกว่าที่เค้าท์เตอร์มั้ง  แต่จริงๆ ให้วางไว้ที่ห้องน้ำ แล้วเดี๋ยวเจ้าหน้าที่จะมาเก็บเอง

เจ้าหน้าที่ที่นี่พูดเร็วมาก ฟังไม่ค่อยทันเท่าไหร่ ตอนแรกก็ไม่ค่อยกล้าย้ำอีกทีว่าให้ทำให้อะไร แต่ตอนหลัง ๆ ต้องย้ำหล่ะ เพราะพูดเร็วจริงๆ

แล้วก็ไปวัดส่วนสูง น้ำหนัก (身体計測)เจ้าหน้าที่บอกให้ยืนเฉย ๆ เพราะเดี๋ยวเครื่องจะวัดโดยอัตโนมัติ (ทันสมัยจริงๆ ) แล้วก็วัดรอบพุง (腹囲測定) แล้วก็ไปวัดสายตาด้วยเครื่อง (視力検査) โดยให้เราบอกว่าตัว E ที่เห็นอยู่บน ล่าง ซ้าย ขวา


จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เราถือกระเป๋าใบประมาณฟิลม์เอ๊กซเรย์ (ข้างในนั้นจะมีเอกสารของเราทั้งหมด) แล้วก็อธิบายว่าให้ไปตามจุดที่เขาระบุหน้าซองกระเป๋านะ จากเบอร์ 1 แล้วก็เบอร์ 2 แล้วก็เบอร์ 3 ซึ่งก็คือที่นี่

เบอร์ 1 ที่ว่าจะเป็นที่เอ็กซเรย์เต้านม อาจจะดูลามกนิดนึงนะคะ (モンモ X線)คือจะต้องเอาเต้านมของเราวางที่เครื่องแล้วเจ้าหน้าที่ก็จะให้เครื่องทำงาน เครื่องก็จะบีบเต้านมของเราเข้ากับเครื่อง เจ็บเหมือนกัน ทำทั้งหมด 4 ครั้ง เต้าละ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1คือเครื่องจะตั้งตรง กับครั้งที่ 2 คือเครื่องตั้งเอียง ๆ






เบอร์ที่ 2 ของหน้าซองจะเป็นการให้ไปวัดคลื่นหัวใจ (心電図)



แล้วก็กลับมาที่เคาท์เตอร์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะพาไปเก็บเลือด (血液検査) เก็บทั้งหมด 3 หลอดแหน่ะ
1 ใน 3 หลอดน่าจะใช้ในการตรวจโรคตับอักเสบ (肝炎検査(HCV抗体)

แล้วก็ถ่ายภาพตาโดยเครื่อง จะเป็นการตรวจภายในลูกตา (眼底検査) 

แล้วก็ตรวจหามะเร็งมดลูก (子宮がん検査)




จากนั้นก็รอพบแพทย์ (医師診察) คุณหมอก็จะถามว่าจะฉีดยาก่อนที่จะกลืนแป้งตรวจกระเพาะหรือเปล่า ถ้าจะไม่ฉีดก็ได้ เราก็ฟังไม่ทันว่าฉีดดีกว่าตรงไหน ก็เลยตอบไปว่าฉีดค่ะ
แล้วคุณหมอก็คลำ ๆ บริเวณคอ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้ซองมาอีกครั้งแล้วก็อธิบายว่าให้ไปที่เบอร์ 1 เบอร์ 2 แล้วก็เบอร์ 3 กลับมาที่เดิม

เบอร์ 1 ที่ว่าจะเป็นการเอ็กซเรย์ปอด (胸部X線)



แล้วก็มาตรวจหาความผิดปกติของบริเวณหน้าอก อันนี้ตรวจโดยการสัมผัสจากคุณหมอ (触診)

เบอร์ 2 ก็จะเป็นให้กลืนแป้งหละ เจ้าหน้าที่มาอธิบายว่าให้ทานกระปุกนี้ก่อน ซึ่งจะเป็นเม็ด ๆ ซึ่งพอทานเข้าไปก็จะทำให้กระเพาะเราขยาย  จากนั้นก็กลืนน้ำขาว ๆ รวดเดียวหมด จากนั้นก็จะมีน้ำขาว ๆ มาให้อีกซึ่งน้ำขาว ๆ ครั้งที่ 2 นี้จะให้ดื่มทีละคำ ตามเจ้าหน้าที่บอก แล้วถ้าเกิดจะเรอขึ้นมา ต้องทนไม่ให้เรอ  ก็เข้าใจวิธีหล่ะ






เจ้าหน้าที่ก็จะบอกว่าให้หมุนตัวไปด้านไหน จะมีพลิกตัวซ้ายขวา เอาท้องทาบกับเครื่อง พลิกตัว กลั้นหายใจ เยอะไปหมด 




พอตรวจเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็มาบอกว่าทีนี้เรอได้เท่าไหร่เรอออกให้หมด ทานข้าวได้แล้ว ดื่มน้ำเยอะ ๆ แล้วให้ทานยาที่ทำให้ท้องเสีย ถ้าปกติเราถ่ายยากก็ให้บอกเจ้าหน้าที่ว่าถ่ายยาก เขาก็จะได้ให้ยามาเพิ่ม





จากนั้นก็กลับมาที่เคาท์เตอร์อีกครั้ง มาเก็บปัสสาวะ ตอนนี้คงหายตื่นเต้นแล้ว เลยไม่มีปัญหาอะไร

แล้วก็ให้ที่เก็บอุจจาระที่เก็บมาจากบ้านเรียบร้อยแล้ว (便潜検査)
ทางโรงพยาบาลจะส่งวิธี กับหลอดที่เก็บมาให้ล่วงหน้า ให้มา 2 อัน แต่เราเก็บได้ 1 อัน ก็เลยแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าได้ 1 อัน เขาก็จะแก้จาก 2 เป็น 1




รูปข้างล่างเป็นวิธีการเก็บอุจจาระ



ก็เป็นการจบการตรวจร่างกาย สำหรับค่าตรวจฟรีค่ะ เพราะเป็นสวัสดิการของบริษัทคุณซู

หลังกลืนแป้งแล้ว ก็รู้สึกอึดอัดที่กระเพาะนิดหน่อย แต่พอทานยาเข้าไปสักพักก็ถ่าย ถ่ายครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 อุจจาระของเราจะเป็นสีขาว ๆ ปนออกมา 

ส่วนผลจะส่งไปให้ที่บริษัท ผลจะออกมายังไงน้า

ขอบคุณรูปทั้งหมดจาก Google นะคะ








วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

การตรวจสุขภาพ (健康診断)

วันนี้ประมาณตี 2 กว่า ๆ  เกิดแผ่นดินไหวแรงมาก เพราะนอนหลับไปแล้ว ยังรู้สึกได้เลย โชคดีที่ไม่เป็นอะไร   และวันนี้ก็มีการวางขาย iPhone 5s เห็นบอกว่าคิวยาวมาก บางคนมาเมื่อ 10 วันก่อน

今日午前2時ちょっと地震が起きました。眠っている内に起こされて強かったです。幸い無事でした。
そして、今日も iPhone 5s を販売する予定があって販売待ち行列は長いとのことでした。当日10日前から待っている人がいるそうです。


เมื่อวันก่อนได้รับจดหมายจากโรงพยาบาลที่เราจะไปตรวจร่างกาย พอเปิดดูจะมีเอกสารคอนเฟริ์มวันเวลาที่จะไปตรวจ แล้วก็ข้อควรระวังก่อนที่จะตรวจ แล้วก็แบบสอบถาม สุดท้ายก็จะเป็นที่ให้เก็บอุจจาระ
แล้วก่อนหน้านี้ทางบริษัทมีส่งบัตรเข้ารับการตรวจมาให้ก่อน ในวันที่ตรวจจริงก็จะต้องถือไปด้วย คิดว่าคงจะเก็บไว้เป็นข้อมูลของทางบริษัทมั้งนะคะ

ところで、先日診断を受けに行く病院から封筒が届きました。開けてみると日程と注意事項と質問票そして便の検査の物です。
この前会社から健康診断受診カードも送ってもらいました。受診当日にこれも持っていかなければなりません。多分会社が情報を集めるからじゃないかと思います。


ส่วนอันนี้สำหรับเก็บอุจจาระส่งให้ตรวจ เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
これは便の検査のためです。初めて見ました。




พอเห็นแบบสอบถาม กับที่ให้เก็บอุจจาระ ช็อคไปเล็กน้อย ทำไมแบบสอบถามเยอะจัง แล้วไหนจะต้องเก็บอุจจาระด้วย (ไม่เคยตรวจแบบนี้มาก่อน)
แล้วมาช็อคอีกครั้งนึงหลังจากอ่านวิธีการเก็บอุจจาระก่อนวันที่ไปตรวจ คือให้เก็บไว้ในตู้เย็น แล้วจะกล้าทานของในตู้เย็นหรือเปล่าเนี่ย ><

質問票と便の検査を見たらちょっとショックしました。なぜ質問票が多いの?後便もとるの?(このような診断を受けたことがないからです。)
再びショックしたのは便のとり方を読んだ後のことです。取った日から3日以内のものを当日に持っていきます。保管方法は冷蔵庫でと書いています。冷蔵庫に入っているものを食べる気はあるかな~><