แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ความรู้ทั่วไป แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาออกกำลังสมองให้ฟิตอยู่เสมอกัน

สมองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์บัญชาการของร่างกาย จิตใจ และความคิด ดังนั้นเราจึงควรดูแลสมองให้แข็งแรงและมีพลังด้วยการฝึกสมองส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกันอยู่เสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างแขนงประสาทและมีการเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทมากขึ้น รวมถึงเพิ่มปริมาณสารเคมีที่บรรจุอยู่ที่ประสาท เพื่อให้การทำงานของสมองเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ

วิธีการออกกำลังกายสมอง ที่ปฏิบัติง่าย ๆ มีดังนี้

1. หลีกหนีความจำเจ การทำอะไรซ้ำ ๆ บ่อยๆ
นอกจากทำให้เบื่อหน่ายแล้ว สมองจะทำงานน้อยลง ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนสิ่งใหม่ ๆ บ้าง เช่น เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน อ่านหนังสือประเภทที่ไม่เคยอ่านมาก่อน เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ฯลฯ แม้เป็นสิ่งเล็กน้อย แต่สามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการตื่นตัวและยังช่วยพัฒนาหน่วยความจำในสมองให้เพิ่มขึ้นด้วย

2. เปลี่ยนความถนัด เริ่มจากกิจวัตรประจำวัน
เช่น การแปรงฟัน จากมือขวาเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายบ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กินข้าว เขียนหนังสือ วาดรูป ฯลฯ จะช่วยให้เซลล์สมองได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และยังทำให้สมองส่วนต่าง ๆ เกิดการตื่นตัวอยู่เสมอ

3. แสวงหาบรรยากาศและกลิ่นใหม่ ๆ
กลิ่นและรสชาติของอาหารที่แปลกจากเดิม เช่น อาหารญี่ปุ่น เวียดนาม ฝรั่งเศส จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น หรือการใช้น้ำมันหอมระเหย เช่น กลิ่นมิ้นต์ หรือกลิ่นมะนาว ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลายได้เช่นกัน

4. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
เช่น จัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ พบปะผู้คนใหม่ ๆ จะช่วยให้สมองสามารถทำงานอย่างสร้างสรรค์ จุดประกายความคิดใหม่ ๆ หรือการท่องเที่ยวสถานที่แปลกใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยชาร์ตพลังให้สมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและผ่อนคลาย แต่ข้อควรระวังของผู้สูงอายุคือ หากเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมบ่อยๆ อาจเกิดผลเสียมากว่าผลดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุสมองเสื่อม เพราะทำให้เกิดการสับสนได้ง่าย

5. คิดในสิ่งที่แตกต่างและใหม่อยู่เสมอ
หมั่นเป็นคนช่างสงสัย ช่างสังเกต ช่างซักถาม เช่น พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ หรือหาประเด็นใหม่ ๆ มาพูดคุย รวมถึงการจดจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง

     นอกจากนี้ในแต่ละวันควรหาเวลาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ด้วยการเพิ่มพลังสมองให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม อ่านหนังสือ และอยู่กับธรรมชาติ จะช่วยทำให้จิตใจสงบ รู้สึกเบิกบานแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของสมองและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

     อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกตามหลักโภชนาการ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อสุขภาพกายดี ก็จะช่วยยืดอายุสมองให้แข็งแรง และยังป้องกันสมองเสื่อมได้อีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร BRAND'S
และขอบคุณรูปจาก Google




วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

緑のカーテン (ผ้าม่านสีเขียว)

ช่วงจะเข้าหน้าร้อน (ประมาณเดือน มิ.ย) จนถึงหน้าร้อน ถ้าใครได้มาญี่ปุ่น อาจจะเห็นบางบ้านปลูกไม้เลื้อยไว้แถว ๆ หน้าต่าง ที่เป็นแบบนี้ เพราะมีการรณรงค์เรื่องของการประหยัดพลังงาน คือถ้าปลูกไม้เลื้อย แล้วให้มันเลื้อยไปตามเส้นที่เราได้ผูกไว้ ก็จะทำให้ห้องไม่ร้อนมาก เพราะมีต้นไม้ช่วยบังแดดเอาไว้ให้ แถมยังได้กินผลของไม้เลื้อยด้วยนะ แล้วแต่ว่าปลูกอะไรไว้ ที่เราจะเห็นส่วนใหญ่ก็จะเป็นองุ่น แล้วก็มะระ
บางบ้านก็ใช้หลังคาของที่จอดรถปลูกองุ่น น่ากินมาก 
เขาเลยเรียกการปลูกลักษณะนี้ว่า 「緑のカーテン (Midori no Ka-ten)」

อย่างบ้านนี้ปลูกมะระ มีลูกด้วยนะ แต่รูปนี้คงไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ต้องรีบกดชัตเตอร์ เดี๋ยวเจ้าของบ้านงงว่ามาทำอะไร

 
 
ส่วน 2 รูปล่างนี้ จะใช้หลังคาของที่จอดรถ ปลูกองุ่น น่ากินมาก ๆ
 
 
 

 
ไว้เดี๋ยวปีหน้าเดี๋ยวลองหัดปลูกแบบนี้ดูบ้างดีกว่า (เหนื่อยคุณซูหน่อย 555)
 
 
 

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เขาไม่ให้ยืนตรงรอยต่อระหว่างเสื่อทะทะมิกับเสื่อทะทะมิ

วันก่อนเราเห็นคุณซูเหยียบตรงขอบประตู เราก็เลยบอกว่าอย่าเหยียบ ให้ใช้ข้ามเอา คุณซูก็ถามว่าทำไม เราก็เลยบอกว่า มีคนบอกมาอีกทีว่าให้ข้าม เพราะเกี่ยวกับพระแม่ธรณี...
(ถ้าใครรู้เรื่องนี้ รบกวนขอข้อมูลทางคอมเม้นท์หน่อยนะคะ จะได้ไปอธิบายให้ละเอียดอีกที ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ^^ )

คุณซูก็เลยบอกมาว่า แล้วรู้มั้ยว่า เขาไม่ให้ยืนบริเวณรอยต่อระหว่างเสื่อทะทะมิกับเสื่อทะทะมิ เพราะว่าสมัยก่อนนินจาเขาจะแทงดาบขึ้นมาจากข้างล่างตรงรอยต่อนี้ เพราะรอยต่อนี้เป็นส่วนที่นิ่มที่สุด

ในรูปนี้ ก็จะตรงที่เป็นสีเขียว ๆ





ก็ไม่รู้ว่าจะทำกันมาถึงปัจจุบันหรือเปล่า แต่พอคุณซูบอกแบบนั้น เราก็พยายามไม่ยืนตรงนั้นไปเลย (เป็นคนว่าง่ายจริง ๆ เลยเรา)





วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิตามินซี และกรดไลโนเลอิค สารอาหารเสริมผิว เพื่อการชะลอวัย

จากที่ไปอ่านเจอในนิตยสารเล่มนึง จะพูดถึงสารอาหารเสริมผิวเพื่อการชะลอวัย
เขาวิจัยมา แล้วพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) สูง มีไขมันและคาร์โบไฮเดรทต่ำ จะมีริ้วรอย ความแห้งของผิว และความบางของผิวลดลงน้อยกว่าผู้ที่รับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและกรดไลโนเลอิคต่ำ และมีไขมันและคาร์โบโฮเดรทสูง โดยพบว่าไขมันที่เพิ่มขึ้น 17 กรัม และคาร์โบไฮเดรทที่เพิ่มขึ้น 50 กรัม มีแนวโน้มเพิ่มริ้วรอยของผิวหนังและทำให้ผิวบางลง

อาหารที่มีวิตามินซี ได้แก่ น้ำส้ม ผลไม้ตระกูลส้ม น้ำผลไม้อื่น ๆ และน้ำมะเขือเทศ
กรดไลโนเลอิค ได้แก่ น้ำมันเรปซีด หรือ คาโนล่า และน้ำมันถั่วเหลือง

ถ้ารับประทานอาหารโดยการผสมผสานให้มีวิตามินซีและกรดไลโนเลอิคสูง ช่วยชะลอวัยเสื่อมได้

อ้างอิงจาก นิตยสาร BRAND'S  ค่ะ ^0^

วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ป้องกันยุงกัด

หลังจากที่ญี่ปุ่นเข้าหน้าร้อนแล้ว ยุงก็เยอะตามมา เราโดนกัดไป รอยน่ากลัวกว่าตอนที่โดนกัดที่เมืองไทย เราเลยขึ้นสถานะที่เฟซบุ๊คของเราว่า (โพสต์วันที่ 3 ก.ค. 56)

"ไม่คิดว่ายุงญี่ปุ่นจะต่างกับยุงไทย.เพราะโดนกัดแล้วคันไม่หายซักที รอยยุงกัดก็เป็นตามรูป
日本の蚊はタイのと違うと思ったことがないです。刺された後かゆみがなかなか止まらないからです。蚊の跡もこんな風になっています。"

รูปโดนกัดที่แขน

 
รูปโดนกัดที่ขา (คันมาก)
 
 
วันรุ่งขึ้นเลยไปซื้อ เจ้าตัวนี้มาแขวนไว้นอกบ้าน ไม่ให้ยุงเข้ามา
ก็มียุงเล็ดลอดเข้ามาได้บ้าง มากับตัวเราตัวที่เราออกไปรดน้ำต้นไม้นี่แหล่ะ 
แต่ถ้าปกติเปิดมุ้งลวดตอนตากผ้า ยุงก็ไม่เข้ามา เจ้าสินค้าตัวนี้ก็คงได้ผลบ้างแหล่ะนะ
 
 
 
 
 
 
แล้วพอดีเปิดเจอรายการนึง เขาบอกเกี่ยวกับว่าทาอะไรแล้วยุงไม่ค่อยมากัด ทางรายการทดลองกับ 3 สิ่ง จะมี 1. ใบเป๊ปเปอร์มินท์, 2. กระเทียม, 3. เลมอน (มะนาวสีเหลือง)
ตอนแรกเราคิดว่าน่าจะเป็นกระเทียม เพราะมันเหม็น ๆ เจ้ายุงคงไม่ชอบ แต่ปรากฏว่าจำนวนตัวยุงที่มากัดเรียงจากมากไปน้อยตามนี้เลยค่ะ
1. ใบเป๊ปเปอร์มินท์
2. กระเทียม
3. เลมอน
 
แล้วทางรายการก็บอกอีกว่ากรุ๊ปเลือดก็มีส่วนที่ทำให้ยุงมากัด เรียงจากมากไปน้อยตามนี้ค่ะ
กรุ๊ป O (มากสุด)
กรุ๊ป B
กรุ๊ป AB
กรุ๊ป A (น้อยสุด)
 
แล้วก็มีอีกปัจจัยนึงที่ทำให้ยุงมากัดมากกว่าปกติ ก็คือ อุณหภูมิร่างกายที่สูง,  เหงื่อออกเยอะ, กลิ่นตัว, เท้ามีกลิ่น, คนที่ผิวดำ
 
ตอนนี้เราเลยป้องกันตัวเองตอนออกไปรดน้ำต้นไม้ คือใช้เลมอน (ไม่สด) เป็นแบบขวด ขายตามร้านทั่วไป หน้าตาแบบนี้ มาทา
 
 
ก็ได้ผลนะ แต่ตรงไหนที่ไม่ได้ทา ยุงก็มาเลือกกันตรงนั้น เจ้ายุงนี่ฉลาดจริงๆ
แล้วก็มีทาสมูทอีของบ้านเรา  ก็ทำให้รอยยุงกัดดีขึ้นนะ
 
 
ตอนนี้รอยยุงกัด (วันที่ 13 ก.ค. 56) ดีขึ้นตามรูปนี้ค่ะ
 
ที่แขน
 
 
 
ที่ขา
 
 
 



วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

การพยักหน้า และการเลียนแบบท่าทางบางอย่าง สามารถเพิ่มคะแนนให้ตนเองได้

สวัสดีค่ะ

จากรายการโทรทัศน์ที่ญี่ปุ่นที่เราได้ดูมา เขามาบอกวิธีเพิ่มคะแนนการสร้างความประทับใจในการสัมภาษณ์งานของบริษัทญี่ปุ่น (นอกจากสัมภาษณ์งาน อาจจะสามารถปรับใช้กับกรณีอื่นก็ได้นะค่ะ)
อันดับแรก ทางรายการให้พนักงานที่สัมภาษณ์งานให้คะแนนจากรูปที่ส่งมาว่าคนไหนได้กี่คะแนน
หลังจากนั้นก็เรียกมาสัมภาษณ์พร้อมกันเลย (มี 5 คนก็สัมภาษณ์พร้อมกัน 5 คน)
พอสัมภาษณ์เสร็จ ทางรายการก็ให้ประเมินใหม่ คราวนี้จากรูปคนที่หน้าตาดี กลับได้คะแนนน้อย เพราะอะไร เพราะเขานั่งเฉย ๆ ไม่แสดงการพยักหน้าแต่อย่างใด ในขณะที่คนที่คะแนนหน้าตาไม่ดี คราวนี้กลับได้คะแนนสูงกว่าเนื่องจากว่าเขาพยักหน้าอยู่ตลอดเวลา และนั่งตัวตรงด้วย
พอสอบถามนักวิชาการ เขาก็ให้คำตอบว่า การที่เราพยักหน้า เปรียบเสมือนการที่เราสนใจเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามพูดอยู่ตลอดเวลา

และก็มีอีกอันหนึ่ง ก็คือการเลียนแบบท่าทางของฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่คุยกัน ก็สามารถเพิ่มความประทับใจให้กับฝ่ายตรงข้ามได้
อย่างเช่น ฝ่ายตรงข้ามดื่มน้ำ เราก็เลียนแบบโดยการดื่มน้ำตาม
ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนท่านั่ง เราก็อาจจะเปลี่ยนตาม เป็นต้น
พอสอบถามนักวิชาการ เขาก็บอกว่า เป็นการแสดงถึงการเป็นพวกเดียวกัน เลยทำให้รู้สึกดี และสนุกมากขึ้นในการสนทนา
ปล. แต่ว่าการเลียนแบบมากจนเกินไป ก็อาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกไม่ดีก็ได้นะค่ะ



วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

เทคนิคการนอนกลางวัน すっかり昼寝術

วันนี้เราดูทีวี มีตอนหนึ่งเขาพูดถึงเทคนิคการนอนกลางวันให้หลับสนิทด้วย
すっかり昼寝術
(ถ้าเนื้อความข้างล่างเราฟังผิด แล้วเผยแพร่ทำให้เข้าใจผิด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะค่ะ)

เนื้อความมีอยู่ว่า
ตอนนี้ที่ญี่ปุ่นเข้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศก็จะร้อนขึ้น ความชื้นในอากาศจะประมาณ 50 % ส่งผลให้สมองเย็นลง แล้วทำให้เราง่วงได้ ดังนั้นการนอนกลางวันสักครู่นึงจะเป็นการดี แต่ถ้านอนมากไปก็จะส่งผลกับเราตอนนอนตอนกลางคืน
ระยะเวลาในการนอนกลางวันที่ดีที่เขาบอกมาคือ 15 นาที
ช่วงเวลาที่ควรนอนกลางวัน (ที่ส่งผลดี  นอกจากเวลานี้ เขาบอกให้ อดทน) คือ 13.00-15.00 น.
ท่านอน กรณีที่มีโซฟา ให้นั่งทำมุม 120 องศา แล้วเอาขาพาดกับเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง (นั่งทั้งนอนอ่ะเนอะ)
ถ้าไม่มีโซฟา มีแต่โต๊ะญี่ปุ่นเล็ก ๆ ก็ให้เอาหมอนวางบนโต๊ะมารองหัวนอน (นั่งทั้งนอนอ่ะเนอะ)
ประมาณว่าให้คอขยับให้น้อยที่สุด

แล้วที่ญี่ปุ่นก็มีบางบริษัทให้พนักงานนอนกลางวันในเวลาทำงานด้วยอ่ะ เพราะทางบริษัทถือว่าถ้าให้พนักงานได้พักผ่อนบ้าง น่าจะส่งผลต่อการทำงานที่ดีขึ้น
อย่างมีคำศัพท์หนึ่งที่ใช้แทนการนอนกลางวันของพนักงานคนหนึ่ง ซึ่งเพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้นอน เขาช่วยรับโทรศัพท์แทน แล้วบอกกับคนที่โทรมาว่า "คุณ....กำลัง Power up อยู่ค่ะ" (หมายถึง กำลังนอนกลางวันอยู่ค่ะ)
...さんがパワーアップ中です。(昼寝中です。)

สุดยอดไปเลย ไม่รู้ว่ามีบริษัทที่ไทยทำบ้างแล้วยัง
ถ้ามีแล้วก็ดีเนอะ ถือว่าได้พักสมองสำหรับงานต่อไป สู้สู้ นะค่ะ