วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2567

เกี่ยวกับข้อมูลภาษี Google Adsence กว่าจะอนุมัติ Ep.1

 หลังจากที่เรากลับมาเขียนบล็อกอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้ค่อยได้เขียนเลยประมาณ 10 ปีได้มั้ง ก็มาดูตรงรายได้ก่อนเลย จากตอนน้ันเขาเคยขึ้น 1 เยน ผ่านไปสักพักใหญ่ก็ 7 เยน แล้วหลังจากนั้นเราก็ไม่ได้มาเช็คอีกเลย

จนตอนนี้ ณ วันที่เรากลับมาเขียนบล็อกอีกครั้ง เข้ามาดูตรงรายได้ อยู่ที่ 2502 เยน ดีใจมาก ๆ มันทำให้มีแรงจูงใจในการเขียนบล็อกต่อไปมาก ๆ (แต่จริงๆ ถึงไม่มีรายได้ เราก็อยากเขียนบล็อกอยู่แล้ว เพราะเป็นความทรงจำอย่างหนึ่งของเรา) แต่ยังไม่มีการเข้าบัญชีเรานะ เพราะของญี่ปุ่นจะต้องครบ 8000 เยนก่อน ก็ยังอีกยาวไกล...

แต่ไหน ๆ จะเริ่มกลับมาเขียนแล้ว ในส่วนของรายได้ ก็ทำทุกอย่างให้ถูกต้องไปเลย เวอร์ชั่นของเราเป็นภาษาญี่ปุ่น 

หน้าจอก็ขึ้นมาแบบนี้ บอกให้ยื่นเอกสารภาษีสิงคโปร์ให้เร็วที่สุด 


จากนั้นเราก็เขาไปที่ お支払い(การชำระเงิน) เข้าไปที่ 設定を管理する

แล้วก็เข้าไปกรอกข้อมูล ตรงจุดไหนที่เราไม่รู้ว่าจะกรอกอะไร ก็ค้นหาจาก Google ก็มีคนมาเขียนเอาไว้เหมือนกันถึงวิธีการกรอก พอดีของเราทำไป ทำตามเขาก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ (เสียดายเลย จะได้แชร์วิธีการนั้น ๆ ได้) 

ก็มาตรงส่วนของภาษีสิงคโปร์ ซึ่งตอนแรกที่เขาให้ส่งเอกสารแนบไฟล์ไป เราก็ดูของคนญี่ปุ่นเขาจะส่ง マイナンバーカード (My number card) เราก็ถ่ายรูปบัตรนั้นจากมือถือแนบไฟล์ไปให้เขา  ก็มีเมล์แจ้งว่าได้รับแล้ว 

ผ่านไปประมาณ 2 - 3 วันได้ก็มีเมล์เข้า Gmail ว่าให้ส่งเอกสารเพิ่มเพราะ 6 ข้อนี้ 

6 ข้อนี้ก็จะบอกประมาณว่า หมดอายุ เป็นประเภทที่ไม่ได้รับอนุมัติ เกี่ยวกับเรื่องวันที่ออกเอกสาร  เป็นของประเทศที่ไม่ได้รับการอนุมัติ ไม่สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ ประมาณนี้ เราก็งง ๆ เลยค้นข้อมูลต่อ ก็จะเจอคนที่คล้าย ๆ กัน เขาเขียนบอกให้ส่งเอกสารนี้ด้วย 居住者証明書 (Application for Certificate of Residence in Japan)

รูปจาก Google

เอกสารที่ว่านี้สามารถเข้าไปที่เว็ปของ税務署ของญี่ปุ่น ปริ๊นท์ แล้วมากรอกไปยื่นได้


แล้วเราก็กรอกตามรูปด้านบน แล้วไปยื่นที่กรมสรรพากรที่เขตตัวเองสังกัดอยู่ สัก 2 วันกรมสรรพากรก็โทรมาว่าให้ไปรับเอกสารได้ 









วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2566

เช้าวันแรกหลังจากผ่าตา 2 ชั้น และการดูแลแผล

 หลังจากผ่าตัด ลูกเข้าโรงพยาบาล โกลาหลมาก ตาก็เพิ่งผ่า เลือดก็ยังออก จริง ๆ จะต้องคอยประคบเย็นตลอดเพื่อลดอาการบวม แต่ไม่ค่อยได้ประคบเลย เพราะต้องทำเรื่องแอดมิทของลูกชาย พอทุกอย่างโอเค ก็มาประคบเย็นตอนนอน ก็ต้องพยายามตั้งศรีษะตรง แล้วก็พยายามประคบเย็นตลอด สรุปไม่ค่อยได้นอน เพราะมัวแต่ประคบ 555 


ส่วนการดูแลแผลที่ผ่า ก่อนตัดไหมห้ามโดนน้ำ ก็เลยไม่ได้ล้างหน้า ไม่ได้สระผม หน้าเราก็ใช้น้ำเกลือเช็ดหน้า ส่วนบริเวณตาก็ใช้คัตเติลบัตหัวโตๆ ปลายยาวๆ (ทางคลินิคมีให้นิดหน่อย แล้วมาซื้อเพิ่มเติม คือปลายสำลีแบบนี้จะเก็บน้ำได้ดีมาก)  จุ่มน้ำเกลือเช็ดเบา ๆ บริเวณรอบดวงตา  แล้วก็ใส่ยาทาที่คัตเติลบัตขนาดธรรมดา แตะ ๆ เบา ๆ บริเวณรอยที่ผ่าตัด แล้วก็ต้องทานยาแก้อักเสบที่คุณหมอให้มาให้ครบ ส่วนยาแก้ปวดที่ได้รับมาก็ทานตอนปวด เราทานครั้งเดียวหลังผ่าตัดเสร็จ วันต่อ ๆ มาไม่ได้ทานเพราะไม่ได้ปวดแผลอะไร


ทายาตัวนี้ก่อนตัดไหม





วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2566

วันที่ผ่าตัดตา 2 ชั้น

 หลังจากโอนจ่ายเงินมัดจำไป 5000 บาท

ก็ถึงวันที่นัดผ่าตัด ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัว (กลัวว่าจะออกมาดีมั้ย ฯลฯ) 

เขาก็มีสัมภาษณ์เพื่อที่จะได้เอาไปรีวิวต่อ ซึ่งถ้าเรายินยอมให้เอาไปรีวิวต่อ ก็จะได้ราคาที่ถูกลงอีก (นิดนึง)

ก็สัมภาษณ์ ๆ จากนั้นก็ไปล้างหน้า  เจอคุณหมอ คุณหมอก็จะประเมินว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ที่เราทำก็จะมี

ตาสองชั้นกรีดยาว

แก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง

จัดเรียงไขมันเบ้าตา/ร่องน้ำตา

ยกกระชับหางตา

Botox ฟิกซ์คิ้ว

ราคาทั้งหมด 72,000 บาท มัดจำแล้ว 5000 บาท ก็จ่ายส่วนที่เพิ่ม 67,000 บาท (โอนเงินสด เพราะถ้าจ่ายผ่านบัตรเครดิต จะต้องจ่าย 69,000 บาท)

พอจ่ายเงินเสร็จก็ถึงเวลา คือบอกตรง ๆ เจ็บ + กลัว คือคิดเลย ถ้าเรามีตาสวย ๆ ไม่มีปัญหาอะไรคือไม่อยากศัลยกรรมเลย มันกลัวมาก แล้วก็เสียวมาก

ถามว่าคุณหมอมือเบามั้ย ก็เบานะ แต่ด้วยความกลัวไง เพราะเกี่ยวกับตา การมองเห็นอ่ะ  เขาก็ใส่ยาชาให้นะ แต่จะรู้สึกตัวตลอด มีเสียงกริบ ๆ เสียงตัดอะไร มีกลิ่นไหม้ ๆ น่าจะทำอะไรตามวิธีการของคุณหมออ่ะนะ 

จาก 16.00 เสร็จทุกขั้นตอนรวมประคบเย็น + ฉีดโบท็อกซ์ จุดที่คุณหมอฉีดก็บริเวณหน้าผาก มีตรงข้าง ๆ แล้วก็กลางเลย (จุด 2 จุดเล็ก ๆ ที่กลางหน้าผากคือจุดที่ฉีด)   ก็ 18.00 ได้ 

หลังจากนั้นก็ไปถ่ายรูป สัมภาษณ์ความรู้สึก แล้วก็ลงไปรับยา + วิธีการดูแลตัวเอง แล้วก็ถุงยา แล้วคุณหมอก็บอกให้อัพรูปมาให้ดูทุกวัน 1 อาทิตย์

จากนั้นก็กลับโรงแรม เราจองโรงแรมที่เดินแค่ 5 นาทีถึง สะดวกมาก เพราะไม่อยากให้สามีกับลูกมารอเราที่คลีนิคนาน

หลังจากกลับมาที่โรงแรม  มีเลือดออกจากตา ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หรือเพราะเม็ดไฝที่คุณหมอตัดออกด้วย รีบถามทางเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แนะนำให้รีบประคบเย็น แล้วเดี๋ยวเลือดก็จะหยุดไหล

คืออาการค่อยยังชั่วนะ แต่เจ้าลูกชายก็มาไม่สบาย อ๊วกอีก โกลาหลมาก สุดท้ายก็ต้อง Check out ออกจากโรงแรม เรียกรถพยาบาล ก็ออกไปทั้งหน้าตาแบบนี้แหล่ะ 555

วิธีดูแลตัวเอง ก็แจกเป็นเอกสารมาเลย











วันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ก่อนไปทำตา 2 ชั้นรวมแก้ไขกล้ามเนื้อตา

 เนื่องจากเรามีปัญหาข้างนึงเล็ก ข้างนึงใหญ่ น่าจะตั้งแต่เด็กนะ แต่พอเริ่มมีอายุมากขึ้นก็จะเริ่มชัดขึ้น เริ่มมีคนทักมากขึ้น เหมือนคนดูเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา (ก็จริงนะ) เลยเริ่มคิดละว่าจะทำตา 2 ชั้น ก็เริ่มดูรีวิวที่โน้นที่นี่ ไลน์ไปถามตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ดูเรื่องราคาด้วย ก็สรุปมาได้ที่นี่ ก็คุยติดต่อกันทางไลน์ นัดวันทำ แต่ด้วยความที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น ก็จะไปทำทันทีก็ไม่ได้ ก็เลยนัดล่วงหน้าไปทำตอนที่กลับไทย 

อาจจะมีคนถามว่าทำไมไม่ทำที่ญี่ปุ่นเลยหล่ะ หนึ่งคือภาษา คือถ้าเป็นภาษาบ้านเราเองก็สามารถบอกความต้องการว่าอยากแบบโน้นแบบนี้ คุยกับคุณหมอได้รื่นกว่า เราคิดว่าภาษาเป็นปัจจัยแรกเลย แล้วก็ตามมาด้วยความที่บ้านเราจะยิ้มแย้มกว่า และอีกหลาย ๆ อย่าง

ก่อนผ่าตัดตา 2 ชั้นก็จะต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้าด้วยนะอย่างน้อย 2 สัปดาห์

1. งดสูบบุหรี่ งดแอลกอฮอล์ 

2. งดอาหารเสริม เช่นวิตามิน C, E น้ำมันตับปลา และสมุนไพรต่าง ๆ (เรางดทุกวิตามินเลย เพราะไม่แน่ใจ)

3. ในวันผ่าตัดก็ไม่ควรแต่งหน้า ให้สระผมไปให้เรียบร้อยเลย เพราะหลังจากผ่าตัดแผลห้ามโดนน้ำ

4. เตรียมแว่นกันแดด และแว่นตาไปด้วย กันลมกันฝุ่นกันแดด

ก็มีเตรียมตัวประมาณนี้นะ



วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2566

แชร์ประสบการณ์ ลูกชาย 9 ขวบผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และต่อมทอมซิลที่เมืองไทย (หลังจากผ่าตัด)

 หลังจากที่ผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์กับต่อมทอมซิลไปแล้ว นอนที่โรงพยาบาล 1 คืน พยาบาลก็เข้ามาดูว่าลูกเรามีเลือดออกมาหรือเปล่า เพราะตอนที่ผ่าตัดเสร็จ ยาสลบหมดฤทธิ์ เขาตื่นมาร้องโวยวายลั่นโรงพยาบาลเลย คุณหมอเลยกลัวเพราะเพิ่งผ่าตัดเสร็จ แล้วใช้เสียงก็เลยกลัวเรื่องแผล ก็ไม่มีเลือดออก โล่งอกหน่อย แล้วก็มีให้ทานยาแก้ปวด 

ตอนนอนเราก็เลยถ่าย VDO ไว้ เพราะเสียงกรนดังมาก พอมีพยาบาลเข้ามา เลยสอบถามดู เขาก็อธิบายว่าเป็นกันทุกคน เพราะเกี่ยวกับลิ้นไก่ เดี๋ยวก็จะหายไปเอง 

เสียงกรนหลังผ่าตัดก็จะเป็นแบบนี้




พอวันรุ่งขึ้นก็ออกจากโรงพยาบาลได้

เราพาแวะไปที่บ้านพ่อกับแม่เรา ก็รู้สึกว่าลูกเราหน้าแดง ๆ วัดไข้ดู มีไข้นิด ๆ ก็เลยให้ทานยาแก้ไขไป แต่ก็ร่าเริงดีมาก ยิ้มเล่นกับคุณตาคุณยาย 

ช่วงนี้ก็ยังไม่ทานอะไรเลย น้ำหวานก็ไม่ ไอติมก็ไม่เอา แต่เพราะต้องทานยา เราก็เลยแกมบังคับให้ทานบ้างนิดหน่อย อย่างข้าวต้มซองที่เราเอามาจากญี่ปุ่น (รูปจาก Google) ก็ไม่ต้องอุ่นก็ทานได้ ลูกเราก็ทานไปนิ๊ดเดียวจริงๆ ก็โอเค พอมีของตกท้อง แล้วก็ทานยา  แต่ถ้าเป็นของร้อน ก็ต้องรอให้เย็นก่อน แล้วก็ต้องทำให้อาหารนั้นเละ ๆ คือบี้ให้เละที่สุด จะได้กลืนไม่ลำบาก




ส่วนการพูดและน้ำเสียงของลูกเราก็เหมือนคนห่อลิ้นพูด คือเสียงไม่ชัดเจน ไม่เหมือนตอนก่อนผ่า เราก็กังวล จะเป็นแบบนี้ตลอดหรือเปล่าเนี่ย แต่สักพักใหญ่ ๆ ก็กลับมาพูดเป็นปกติ

(ช่่วงนี้เราก็ให้ลูกเราอยู่แต่โรงแรม ไม่ได้ให้ออกไปไหน คุณหมอก็บอกเหมือนกันว่าไม่ควรออกไปข้างนอกประมาณ 10 วัน) 

จนมาคืนวันที่ 29 กค. 23 ลูกเราก็คงยังไม่ค่อยทานอะไร  เลยให้ดื่มนม แต่ดื่มไม่หมดนะ แล้วพอมาถึงตอนมื้อกลางวัน  ลูกเราบอกมาว่าปวดท้อง  หนาว  ตอนแรกเราก็ไม่ได้คิดอะไร  นึกว่าบอกแบบประมาณว่าไม่อยากทานข้าวที่ป้อนให้เลยหาข้ออ้าง

มามื้อเย็น ให้สามีซื้อไข่ตุ่นมา  ก็ให้ทานไข่ตุ๋น  กับนมใส่น้ำแดง  ทานไปได้ไม่เยอะเท่าไหร่   บอกปวดท้อง  หนาว  เหมือนตอนกลางวัน  พอให้ทานยามื้อเย็น  แป๊บเดียวเองก็อ๊วก เป็นสีส้ม ๆ  เลยโทรไปรพ ที่ผ่าตัด  ในส่วนแอ๊ดมิดปิดแล้ว  ก็อธิบายให้พยาบาลฟัง  เขาบอกให้นอนพัก  

แล้วก็อ๊วกอีกเป็นครั้งที่ 2  คราวนี้เริ่มไม่ได้การละ  เลยรีบพาไป รพ ที่ใกล้ที่สุด มาถึงรพ ก็อ๊วกอีก 1 ครั้ง  เจอคุณหมอ คุณหมอบอกเป็นกระเพาะลำไส้ติดเชืัอ  ถามว่าเกี่ยวกับที่ผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์ทอมซิลหรือเปล่า  คุณหมอบอกไม่เกี่ยว  แผลผ่าตัดโอเค  น่าจะเป็นจากอาหารไม่สะอาด  หรือมือไม่สะอาด แล้วเอาเข้าปาก  อีกแล้วทุกครั้งที่มา ลูกเราต้องเข้ารพ เพราะสาเหตุนี้ตลอดเลย

คุณหมอให้ยามากลับมาทานที่บ้าน เป็นยาแก้อาเจียน  ลดลมในกระเพาะ ยาแก้ปวดท้อง  เกลือแร่แบบชง ทานยาแล้วก็นอนพัก  ผ่านไป 2 ชั่วโมง  ตอนนั้นเที่ยงคืนได้ อ๊วกอีก ให้จิบน้ำเกลือแร่ นอนต่อผ่านไปอีก 2 ชั่วโมง  ตี 2 ของวันที่ 30 ก็อ๊วกอีก  คราวนี้ไม่นอนหลับต่อ บอกปวดท้อง ดิ้นไปมา  บอกปวดขาอีก  ปัสสาวะอีก  สีของปัสสาวะนี่น้ำตาลเข้มมาก  ฟองเต็มไปหมดเลย  เลยรีบโทรถามรพ  เจ้าหน้าที่บอกว่า ที่ปวดขาด้วย  ปัสสาวะเข้มมีฟอง ก็เพราะร่างกายขาดสมดุลแล้ว  ถ้าจิบเกลือแร่ไม่ได้ก็ต้องให้น้ำเกลือ  กะจะเรียกรถพยาบาล  เพราะดึกมาก + ไม่รู้เดินไหวเปล่า  แต่ถ้าเรียกรถก็ 1200 บาท สามีเราบอกเรียกแท็กซี่ดีกว่า  ระหว่างไปเรียกมีอ๊วกอีก แท็กซี่ก็มีคนรอเรียกอีก  เพราะคงเพิ่งเลิกจากไปเที่ยวกัน  ดีที่มีคันนึงตรงมาที่พวกเราเลยได้ขึ้นแบบไม่ต้องรอนาน

(มีต่อในแชร์ต่อไป)