วันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จินตนาการในโลกใบเล็กของเด็ก ๆ

บ่อยครั้งบรรดาพ่อ แม่ ครู หรือพี่เลี้ยงที่ต้องดูแลเด็กเล็กวัยอนุบาลจะออกอาการขำที่เห็นเด็ก ๆ นั่งเล่นคนเดียว สร้างโลกแห่งจินตนาการเป็นยอดมนุษย์ เป็นตำรวจ คุณหมอ หรือแม้แต่เล่นเป็นพ่อแม่แบบออกรสออกชาติได้นานเป็นชั่วโมง

แต่โลกแห่งจินตนาการของเด็ก ๆ นี่แหล่ะ ที่ช่วยให้พวกเขาได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ที่หลากหลาย นับเป็นอีกบทเรียนที่เด็กจะได้เรียนรู้บทบาทเสมือนจริงจากการได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง และการสัมผัส ซึ่ีงจะช่วยให้เขามีพัฒนาการและทักษะทางด้านต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น มีทักษะในการคิดดีกว่า มีสมาธินานกว่า และมีไอเดียใหม่ ๆ มากกว่าเด็กที่อยู่เฉย ๆ เอาแต่นั่งดูทีวี หรือขลุกอยู่กับการเล่นเกมทั้งวัน ทั้งนี้เพราะการเล่นตามจินตนาการของเด็กจะช่วยเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดสำรวจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีมุมมองที่กว้างและมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของความเชื่่อมั่นในตนเอง

นอกจากนี้ยังช่วยด้านการมีพัฒนาการทางอารมณ์ จากการได้พบเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด เช่น เล่นกับเพื่อนแล้วเพื่อนแกล้ง ถูกครูดุ ไม่มีคนเข้าใจ ฯลฯ ซึ่งเด็กอาจจะไม่สามารถเข้าใจและหาทางจัดการกับเรื่องเหล่านั้นได้ อีกทั้งคุณพ่อและคุณแม่ก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่จะคอยช่วยเหลือได้ ดังนั้นเด็กจึงสร้างโลกแห่งจินตนาการเพื่อแก้ไขปัญหา เพื่อให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัย มีอำนาจแก้ไขปัญหานั้น ๆ เสมือนเป็นการคลายความเครียดของเด็ก ซึ่งในบางครั้งเด็กอาจมีการส่งสัญญาณความเครียดด้วยการแสดงออกกับบทบาทสมมติ เช่น นำตุ๊กตามาสมมติว่าเป็นลูก แล้วโยน หรือเหวี่ยงทิ้ง หากเป็นเช่นนี้พ่อแม่ควรสังเกต ทำความเข้าใจ และให้เวลาลูกมากขึ้น ที่สำคัญการสร้างชีวิตในโลกสมมติเป็นความสุขอย่างหนึ่งของเด็ก ๆ แม้จะไม่มีตัวตนก็ตาม



แต่ในขณะเดียวกันเด็กในวัย 3-6 ปี ยังไม่สามารถแยกแยะระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกแห่งจินตนาการได้ คุณพ่อคุณแม่จึงควรดูแลให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี เพราะหากเมื่อใดที่เด็กเริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้ความรุนแรง คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่เหมือนในการ์ตูนที่ดู เช่น หยิบมีดในครัวออกมาวิ่งไล่คล้ายจะออกรบเหมือนในหนัง ชก เตะ ต่อยคนอื่นแล้วภาคภูมิใจ หรือคิดว่าตัวเองมีความพิเศษ กระโดยตึกแล้วเหาะกลางอากาศได้ เหมือนยอดมนุษย์ในหนัง หรือพูดจากหยาบคาย ก้าวร้าวแล้วคิดว่าไม่ผิด ถือว่าน่าเป็นห่วงและส่งผลเสียเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

พ่อแม่คือบุคคลสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมเด็กให้มีจินตนาการในด้านบวกเพี่อให้เด็กเติบโตขึ้นเป็นคนดี เก่ง กล้าคิด กล้าแสดงออกในทางที่ถูกต้อง

 


ขอบคุณนิตยสาร BRAND'S
และรูปจาก Google

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

อากาศร้อนเกิน 38 องศาแหน่ะ ไปตากแอร์ที่ห้างดีกว่า

วันนี้อากาศร้อนมาก ประมาณ 38 องศาได้ จริงๆ ก็ร้อนมากมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วหละ
อยู่บ้านขนาดเปิดพัดลมจ่อเป่าก็ยังร้อน
ยิ่งเมื่อวานร้อนจนปวดหัวไปหมด ไม่ค่อยอยากทำอะไร ตอนนอนช่วยไม่ได้ เลยต้องใช้ที่แปะหน้าผากที่ใช้ตอนมีไข้มาช่วย  ก็ทำให้นอนหลับสบายหน่อย


วันนี้ก็เลยชวนคุณซูไปห้าง ไปตากแอร์ที่ห้างเอา  คุณซูมีพาไปร้านโมเดลรถไฟ เพิ่งรู้ว่าที่ร้านโมเดลแบบนี้มีขายฉาก มีขายตุ๊กตาประกอบฉากตัวเล็ก ๆ เยอะมาก

อย่างรูปนี้ก็จะเป็นที่ขายโมเดลฉาก จะเป็นพวกตึก ห้างร้านต่าง ๆ

 
 
 
อย่างรูปนี้จะเป็นพวกตัวตุ๊กตาเล็ก ๆ ที่อยู่ในฉาก 
 


แล้วก็ฉากพวกต้นไม้


เขามีที่ประกอบสำเร็จแล้ว อลังการมาก แต่เราถ่ายมาได้เท่านี้เอง


จากนั้นก็ไปต่อที่ร้านอื่น มาสะดุดร้านนี้ จะเป็นที่หยอดตู้ มีหลากหลายคาแร็กเตอร์มาก แต่เราชอบของ Line เลยหยอดไป 200 เยน เครื่องแบบนี้จะเรียกว่า "Gacha Gacha" ทำเอาบางคนหมดไปหลายตังค์ก็มี
เราก็อยากหยอดเยอะ ๆ นะ แต่ความเสียดายตังค์มีเยอะกว่า เลยหยอดแค่ครั้งเดียวพอ


วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แนะนำขนมที่ให้คอลลาเจน

วันก่อนคุณซูหยิบขนมชิ้นนี้ใส่ตระกร้า กลับมาบ้าน เอ๊ะทำไมมีเจ้าขนมนี้มาด้วย เสร็จเรา อิอิ เลยลองทานดู อร่อยดี รสชาติก็เหมือนเจลลี่ หยุ่น ๆ นึบ ๆ คล้ายขนมบ้านเรานี่แหล่ะ แต่ลองอ่านที่สลาก อ่านไปอ่านมา เขาเขียนมามีคอลลาเจนด้วย ดีเหมือนกันทานขนมแถมยังได้คอลลาเจนอีกต่างหาก  ^0^v



มี 12 ซอง

รสส้มเขาเขียนว่ามีคอลลาเจน 700 mg/ 1 ซอง
รสองุ่นเขาเขียนว่ามีคอลลาเจน 800 mg/ 1 ซอง




(รูปกลับหัวกลับหางไปหน่อย)



ผิวสวยสดใสแต่ละวัยต้องหมั่นดูแล

ทำไมผิวต้องเสื่อม

ผิวเสื่อมเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก คือสิ่งแวดล้อม เช่นแสงแดด มลพิษและเสื่อมตามวัย หรือผลจากการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย ซึ่งมีการศึกษาพบว่า ผิวที่เหี่ยวย่นมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการลดลงของปริมาณคอลลาเจน  กล่าวคือ  เมื่ออายุ 30 ปี  การสร้างคอลลาเจนในผิวจะลดลงปีละ 1% พออายุ 45-50 ปี ร่่างกายก็จะหยุดการสร้างคอลลาเจน จึงสังเกตว่าผู้ที่วัยล่วงเลยเข้าเลข 3 ผิวที่เคยเต่งตึงก็จะเริ่มปรากฏริ้วรอยให้เห็น

 
ไม่ว่าจะเป็นวัยรุ่น วัยทำงานหรือวัยไหน ๆ การดูแลผิวพรรณถือว่าสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นผู้หญิงสมัยนี้่ห่วงแหนผิวพรรณและพยายามสรรหาเคล็ดลับต่าง ๆ เพื่อปกป้องริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นก่อนวัย
 
 
มาทำความเข้าใจผิวแต่ละวัยกันนะคะ

20 วัยสาวสดใส

     วัยรุ่นเป็นวัยที่ผิวพรรณจะสดใสเปล่งปลั่งมากที่สุด แต่อาจมีปัญหาผิวหน้ามันหรือสิว เนื่องจากระดับฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงก่อนหรือหลังการมีประจำเดือน จึงควรให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดผิวให้หมดจด โดยเฉพาะคนที่แต่งหน้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง ที่สำคัญต้องไม่บีบหรือแกะสิว เพราะอาจเกิดการอักเสบ ติดเชื้อและเกิดแผลเป็น นอกจากนี้ควรลดอาหารหวานจัด มันจัด อาหารหมักดอง เป็นต้น

 


ดูดีได้ในวัย 30

     เมื่อย่างเข้าเลข 3 ผิวหนังจะเริ่มขาดความชุ่มชื้น ไม่เปล่งปลั่งสดใสเหมือนเดิม รูขุมขนกว้างขึ้น สีผิวเริ่มไม่สม่ำเสมอ ผิวจึงต้องการดูแลมากขึ้น เพราะการผลัดเซลล์ตามธรรมชาติไม่รวดเร็วเหมือนเมื่อวัย 20 ต้น ๆ เมื่อไม่มีการผลัดเซลล์ใหม่ เซลล์ที่เสื่อมสภาพจะห่อหุ้มผิวเราไว้ ผิวหน้าก็จะดูหมอง ๆ ไม่สดใส ไม่เรียบเนียน และจะเริ่มมีปัญหาเรื่องริ้วรอย จุดด่างดำ และรอยกระที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานในห้องแอร์ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำทุกวัน ขอแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ซึ่งเป็นการทำร้ายผิวให้ดูแก่ก่อนวัย รวมถึงการทำใจไม่ให้เครียดหรือหน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะจะทำให้เกิดริ้วรอยได้ง่าย

 


เลิศหรูสไตล์วัย 40

     เมื่อเข้าสู่วัย 40 ต่อมสร้างน้ำมันใต้ผิวหนังจะลดการทำงานลง จึงทำให้เกิดริ้วรอยรอบปากและดวงตา เนื่องจากไขมันหล่อเลี้ยงใต้ชั้นผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นลง ผิวจึงไม่อิ่มเอิบ และเกิดริ้วรอยหรือจุดบกพร่องชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้หญิงช่วงอายุนี้เริ่มเข้าสู่วัยทอง ทำให้ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลทำให้ผิวบาง แห้งและแพ้ง่ายมากยิ่งขึ้น ผิวจึงต้องการการปกป้องจากแสงแดดและมลภาวะมากขึ้น หากถ้าคุณทาครีมกันแดดปกป้องผิวทุกวันตั้งแต่เพิ่งเข้าวัยรุ่นสภาพผิวจะยังคงนุ่มนวลไม่หยาบกร้านและดูอ่อนเยาว์กว่าผู้ที่ไม่เคยปกป้องผิวด้วยวิธีใด ๆ

 

วัย 50+ สวยสมวัย

     ส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัยทองซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หมดประจำเดือนแล้ว ร่างกายจะสร้างคอลลาเจนและองค์ประกอบสำคัญอื่น ๆ ที่เป็นโครงสร้างผิวได้น้อยลง ผิวจึงหย่อนคล้อย แห้งกร้าน หมองคล้ำ ริ้วรอยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือริ้วรอยตื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วก็จะยิ่งลึกและมองเห็นชัดยิ่งขึ้น ยิ่งถ้าสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า ตากแดดบ่อย ๆ ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ผิวเสื่อมสภาพเร็ว และเกิดฝ้า กระ มากขึ้นด้วย ในบางรายที่ชอบแช่น้ำอุ่น จะยิ่งทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น และอาจเกิดอาการคันตามมา

"จากผลการศึกษาวิจัยพบว่า การรรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นดีขึ้น ชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ริ้วรอยและความหยาบกระด้างของผิวลดลง"

สวยสดใสด้วยการใช้ชีวิตสมดุล

     แม้วัยจะเป็นตัวกำหนดสภาพผิวพรรณโดยธรรมชาติ แต่ถ้ารู้จักดูแลสุขภาพโดยเฉพาะเรื่อง "อาหาร" เพราะผิวก็ต้องการอาหารในการบำรุง ซ่อมแซมและฟื้นฟู เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ เช่นกัน และอาหารที่ดีต่อผิวก็คือ ผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ ซี และอี ที่จะช่วยปกป้องผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระ และชะลอการเสื่อมของผิว และจากผลการศึกษาวิจัยพบว่า การรับประทานคอลลาเจนที่สกัดจากปลาทะเลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ดีขึ้น ชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้น อีกทั้งยังช่วยทำให้ริ้วรอยและความหยาบกระด้างของผิวลดลง ขณะเดียวกันควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำจิตใจให้เบิกบานแจ่มใส ไม่เครียด ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ จากภายนอกที่คอยทำลายผิว ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด ฝุ่นละออง บุหรี่และควันพิษจากท่อไอเสีย รวมถึงหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีปริมาณรังสียูวีสูงที่สุด แต่หากจำเป็นก็ควรกางร่ม หรือสวมหมวกปีกกว้าง ใส่เสื้อแขนยาว และอย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำ

     เพียงเท่านี้ คุณก็จะมีผิวพรรณที่อ่อนเยาว์ สวยสดใส และมีสุขภาพดีไม่แพ้ใครค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจากนิตยสาร BRAND'S
และรูปภาพต่าง ๆ จาก Google นะคะ







วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาออกกำลังสมองให้ฟิตอยู่เสมอกัน

สมองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์บัญชาการของร่างกาย จิตใจ และความคิด ดังนั้นเราจึงควรดูแลสมองให้แข็งแรงและมีพลังด้วยการฝึกสมองส่วนต่าง ๆ ให้ทำงานประสานกันอยู่เสมอ เพื่อช่วยกระตุ้นเซลล์สมองให้สร้างแขนงประสาทและมีการเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทมากขึ้น รวมถึงเพิ่มปริมาณสารเคมีที่บรรจุอยู่ที่ประสาท เพื่อให้การทำงานของสมองเป็นไปอย่างเต็มประสิทธิภาพ

วิธีการออกกำลังกายสมอง ที่ปฏิบัติง่าย ๆ มีดังนี้

1. หลีกหนีความจำเจ การทำอะไรซ้ำ ๆ บ่อยๆ
นอกจากทำให้เบื่อหน่ายแล้ว สมองจะทำงานน้อยลง ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนสิ่งใหม่ ๆ บ้าง เช่น เปลี่ยนเส้นทางกลับบ้าน อ่านหนังสือประเภทที่ไม่เคยอ่านมาก่อน เปลี่ยนเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ฯลฯ แม้เป็นสิ่งเล็กน้อย แต่สามารถช่วยให้เซลล์ประสาทเกิดการตื่นตัวและยังช่วยพัฒนาหน่วยความจำในสมองให้เพิ่มขึ้นด้วย

2. เปลี่ยนความถนัด เริ่มจากกิจวัตรประจำวัน
เช่น การแปรงฟัน จากมือขวาเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายบ้าง จากนั้นก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นกิจกรรมที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น กินข้าว เขียนหนังสือ วาดรูป ฯลฯ จะช่วยให้เซลล์สมองได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และยังทำให้สมองส่วนต่าง ๆ เกิดการตื่นตัวอยู่เสมอ

3. แสวงหาบรรยากาศและกลิ่นใหม่ ๆ
กลิ่นและรสชาติของอาหารที่แปลกจากเดิม เช่น อาหารญี่ปุ่น เวียดนาม ฝรั่งเศส จะทำให้ประสาทรับรสทำงานได้ดีขึ้น หรือการใช้น้ำมันหอมระเหย เช่น กลิ่นมิ้นต์ หรือกลิ่นมะนาว ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ผ่อนคลายได้เช่นกัน

4. ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
เช่น จัดบ้าน จัดสวน เปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ พบปะผู้คนใหม่ ๆ จะช่วยให้สมองสามารถทำงานอย่างสร้างสรรค์ จุดประกายความคิดใหม่ ๆ หรือการท่องเที่ยวสถานที่แปลกใหม่ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยชาร์ตพลังให้สมอง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและผ่อนคลาย แต่ข้อควรระวังของผู้สูงอายุคือ หากเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมบ่อยๆ อาจเกิดผลเสียมากว่าผลดี โดยเฉพาะผู้สูงอายุสมองเสื่อม เพราะทำให้เกิดการสับสนได้ง่าย

5. คิดในสิ่งที่แตกต่างและใหม่อยู่เสมอ
หมั่นเป็นคนช่างสงสัย ช่างสังเกต ช่างซักถาม เช่น พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่ ๆ หรือหาประเด็นใหม่ ๆ มาพูดคุย รวมถึงการจดจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง

     นอกจากนี้ในแต่ละวันควรหาเวลาผ่อนคลายร่างกายและจิตใจ ด้วยการเพิ่มพลังสมองให้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การนั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรม อ่านหนังสือ และอยู่กับธรรมชาติ จะช่วยทำให้จิตใจสงบ รู้สึกเบิกบานแจ่มใส ไม่เคร่งเครียด ซึ่งจะส่งผลต่อการพัฒนาศักยภาพของสมองและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

     อย่างไรก็ตามการดูแลสุขภาพของตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกตามหลักโภชนาการ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เมื่อสุขภาพกายดี ก็จะช่วยยืดอายุสมองให้แข็งแรง และยังป้องกันสมองเสื่อมได้อีกด้วย




ขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร BRAND'S
และขอบคุณรูปจาก Google