วันนี้ไปโรงพยาบาลมีนัดตรวจครรภ์ครั้งที่ 6 (อายุครรภ์ 24 สัปดาห์กว่า ๆ)
ไปถึงโรงพยาบาล ก็ยื่นบัตรนัด บัตรคนไข้ สมุดสุขภาพแม่และเด็ก สมุดช่วยค่าตรวจ ไม่ได้ยื่นบัตรประกันสุขภาพเพราะยังไม่ใช่เดือนใหม่ของการมาตรวจ
แล้วก็ไปเก็บปัสสาวะ วัดความดัน จากนั้นพยาบาลก็เรียกเข้าห้องสำหรับเจาะเลือด ครั้งนี้เก็บไป 3 หลอด ซึ่งจะนำไปเช็คว่ามีเชื้อมะเร็งเม็ดเลือดขาวหรือไม่ เพราะสามารถติดได้ทางการให้นมแม่
นำไปเช็คว่าเลือดจางหรือไม่ และเช็คค่าน้ำตาลในเลือด
หลังจากนั้นก็ชั่งน้ำหนัก แล้วก็รอพบคุณหมอ คุณหมอมาเห็นน้ำหนัก ทำหน้าเครียดเลย เพราะน้ำหนักเราขึ้นจากก่อนท้องมา 8.5 กิโล ซึ่งเกณฑ์ของคุณหมอคือ 8-12 กิโล เพราะหลังจากนี้น้ำหนักก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น คุณหมอเลยให้ควมคุมน้ำหนัก ลดปริมาณอาหารลง
หลังจากนั้นก็อัลตราซาวด์ดู เด็กตัวใหญ่ขึ้นมากเลย อาจจะเป็นเพราะน้ำหนักแม่ขึ้นเยอะด้วย เลยทำให้เด็กตัวใหญ่ ครั้งนี้คุณหมอจะให้ดูส่วนหัว เน้นให้ดูจมูก ปาก แล้วก็ให้ฟังเสียงหัวใจเต้น ทั้งหมดปกติ แข็งแรงดี แล้วคุณหมอก็บอกผลการตรวจเลือดไม่มีปัญหาเลือดจาง แอบเห็นตัวเลขอยู่ที่ 11 กว่า ๆ ส่วนผลของตัวอื่นยังไม่ออก แล้วก็แอบเห็นคุณหมอเขียน 800 กว่า ๆ น่าจะเป็นน้ำหนักของทารก
แล้วคุณหมอก็ถามว่ามีอะไรจะถามไหม เราก็บอกไปว่าช่วงนี้จะปวดหน่วง ๆบริเวณช่วงล่าง บริเวณก้น ทางด้านซ้าย คุณหมอก็เลยสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นเรื่องของท้องผูก ให้ดูอาการ
แล้วก็นัดครั้งต่อไปอีก 2 อาทิตย์ คุณหมอพูดมาเลยว่าครั้งที่มาตรวจคราวหน้าไม่ควรขึ้นเกิน 1 กิโล เฮ้อ
ก่อนกลับคุณหมอให้ไปฟังพยาบาลพูดเรื่องของอาหาร แล้วก็รับคู่มือแนะนำเรื่องอาหารในตอนที่ตั้งครรภ์ และแฮนบุ๊คสำหรับการไปทานข้าวนอกบ้าน พยาบาลเขียนมาเลยว่า BMI ของเรา 21.0 น้ำหนักมาตรฐานจะอยู่ที่ 58.4 กิโล เพราะฉะนั้นปริมาณพลังงานที่จำเป็นต่อวันจะอยู่ที่ 1,700 Kcal
เราต้องควบคุมอาหารให้อยู่ในเกณฑ์นี้เหรอเนี่ย ><
ในคู่มือก็จะบอกมาว่าใน 1 วันควรจะทานอะไรบ้าง ปริมาณเท่าไหร่
บอกวิถีการทานอาหาร คือ
1. ทานอาหารครบ 3 มื้อ
2. เคี้ยวช้า ๆ ละเอียด ๆ
3. ก่อนนอน 2 ชั่วโมงไม่ให้ทานอะไร
4. ให้ออกกำลังกาย
5. อาหารที่ใช้น้ำมันเยอะ ให้ทานพอดี ๆ
6. ให้ระวังในการทานขนมขบเคี้ยว ของว่าง
7. ให้หันมาทานอาหารจำพวกที่ไม่มีแคลอรี่ อย่างเห็ด บุก สาหร่าย
8. ไม่ทานอาหารรสจัด
9. ไม่ใช้พวกน้ำปรุงรส ซอสในปริมาณที่เยอะ
ส่วน แฮนบุ๊คสำหรับการไปทานข้าวนอกบ้าน ก็จะเขียนประมาณว่า เมนูอาหารนี้ให้พลังงานกี่กิโลแคลอรี่ คงประมาณว่าให้เลือกทานที่ให้พลังงานไม่สูงมาก
ต้องควบคุมอาหาร น้ำหนักแล้วสิเรา
ค่าตรวจในวันนี้ 3,720 เยน
วันจันทร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2557
ปลูกมะเขือเทศ
เราเป็นคนนึงที่ชอบทานมะเขือเทศมาก ๆ แต่ที่ญี่ปุ่นขายแพ็คนึง (มีประมาณ 12-15 ลูก) ประมาณ 200 เยน ทานไปแป๊ปเดียวหมดหล่ะ เลยกะจะลองปลูกเองดูว่าจะออกเยอะหรือเปล่า เมื่อปีที่แล้วก็ซื้อมะเขือเทศที่เป็นแบบเมล็ดมา โตออกดอกแล้วก็ออกลูกนะ แต่ว่าไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ออกลูกมานิดเดียวเอง ปีนี้คุณซูเลยลองใหม่ แต่คราวนี้ซื้อแบบที่เขาขายเป็นต้นมาแล้ว น่าจะโอเคกว่า
ขายต้นละ 265 เยน
แล้วก็มีซื้อต้นสีแดง กับ สีชมพูมา (กระถางแขวน 2 อันทางขวามือ) ไม่รู้เรียกว่าต้นอะไร เป็นต้นที่ทนมาก จากที่เคยปลูกเมื่อปีที่แล้วดอกแทบจะไม่ร่วงเลย
ขายต้นละ 75 เยน
ส่วนต้นสูง ๆ ดอกสีเหลือง ๆ เรียกว่าต้น Nanohana
แล้วก็ต้นซากุระ (กระถางที่มีหลอดเหลือง ๆ ปักอยู่) ที่เราเห็นตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้ออกดอกแล้ว (แต่ไม่เยอะ ) ^^
ขายต้นละ 265 เยน
แล้วก็มีซื้อต้นสีแดง กับ สีชมพูมา (กระถางแขวน 2 อันทางขวามือ) ไม่รู้เรียกว่าต้นอะไร เป็นต้นที่ทนมาก จากที่เคยปลูกเมื่อปีที่แล้วดอกแทบจะไม่ร่วงเลย
ขายต้นละ 75 เยน
ส่วนต้นสูง ๆ ดอกสีเหลือง ๆ เรียกว่าต้น Nanohana
แล้วก็ต้นซากุระ (กระถางที่มีหลอดเหลือง ๆ ปักอยู่) ที่เราเห็นตั้งแต่ปีที่แล้ว ปีนี้ออกดอกแล้ว (แต่ไม่เยอะ ) ^^
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557
เตรียมของเด็ก-หมวดผ้าอ้อม
พอเตรียมเสื้อผ้าเด็กแล้ว ก็มาเรื่องผ้าอ้อม
เราจะพยายามใช้ผ้าอ้อมแบบผ้าในช่วงกลางวัน แล้วค่อยใช้แบบสำเร็จรูปในช่วงกลางคืน หรือตอนออกไปข้างนอก น่าจะประหยัดไปได้พอสมควร
ที่ซื้อมาแล้วก็จะมี
1. กางเกงผ้าอ้อม (おむつカバー) ซื้อมาทั้งหมด 4 ตัว
2. แผ่นรองซับ (布おむつ) ซื้อมาทั้งหมด 26 ผืน (แต่คิดว่าคงไม่พอ เดี๋ยวไปซื้อแพ็ค 10 ชิ้นมาเพิ่ม)
3. กระดาษรองอึ (おむつライナー)
4. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป สำหรับเด็กแรกเกิด 1 แพ็ค (紙おむつ) มี 68 ชิ้น ราคา 1,280 เยน
5. ทิชชูเปียกเช็คก้น (おしりふき)
ลองซื้ออันนี้มาใช้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าเด็กจะแพ้หรือเปล่า กล่องนี้มี 50 แผ่น ราคา 399 เยน
แต่น่าจะไม่พอแน่ ๆ คงต้องไปซื้อมาเพิ่ม
6. ที่รองสำหรับไว้เปลี่ยนผ้าอ้อม อย่างตอนออกไปข้างนอก (おむつ替えシート)
พอคลี่ออกมาจะขนาดเท่ากับเบาะเล็ก ๆ ซื้อที่ร้าน Akachanhonpo ราคา 1,542 เยน
7. ถุงใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้แล้วสำหรับทิ้ง (ตอนออกไปข้างนอก) หรือไว้ใส่ผ้าอ้อมผ้าที่เปียก เพราะสามารถเก็บกลิ่นได้ (おむつ処理用ポリふくろ) ซื้อที่ร้าน Nishimatsuya ราคา 159 เยน
8. ถังใส่ผ้าอ้อมที่ใช้แล้ว
เราซื้อมา 2 ใบ สำหรับผ้าอ้อมที่เปื้อนฉี่ กับผ้าอ้อมที่เปื้อนอึ ซื้อจากร้าน 100 เยน
9. น้ำยาซักผ้า(おむつ、肌着洗い洗剤)
ไม่รู้ว่ายี่ห้อไหนดี เลยซื้ออันนี้มาลองใช้ดูก่อน เป็นแบบเซ็ทคือมีรีฟิวด้วย ราคาอยู่ที่ 1,007 เยน
10. ไม้แขวนเสื้อสำหรับเด็ก (赤ちゃんハンガー)
มี 12 อัน ราคา 409 เยน
ในหมวดนี้น่าจะไม่มีอะไรแล้วน้า...
เราจะพยายามใช้ผ้าอ้อมแบบผ้าในช่วงกลางวัน แล้วค่อยใช้แบบสำเร็จรูปในช่วงกลางคืน หรือตอนออกไปข้างนอก น่าจะประหยัดไปได้พอสมควร
ที่ซื้อมาแล้วก็จะมี
1. กางเกงผ้าอ้อม (おむつカバー) ซื้อมาทั้งหมด 4 ตัว
แพ็ค 2 ตัวด้านล่างนี้ซื้อที่ Nishimatsuya ไซส์ 50-60 ราคา 1,498 เยน
ตัวลายสีน้ำเงินนี้คุณซูเลือกให้เลย 555 ซื้อที่ Akachanhonpo ราคา 980 เยน
ตัวสีขาวซื้อที่ Akachanhonpo ราคา 980 เยน
แกะออกมาแล้ว หน้าตาจะแบบนี้
2. แผ่นรองซับ (布おむつ) ซื้อมาทั้งหมด 26 ผืน (แต่คิดว่าคงไม่พอ เดี๋ยวไปซื้อแพ็ค 10 ชิ้นมาเพิ่ม)
2 แพ็คนี้ซื้อจากร้าน Nishimatsuya แพ็คนึงมี 10 ผืน ไซส์ S-M (เขาบอกว่าใช้ได้ถึงอายุ 6 เดือน)
แพ็คละ 1,599 เยน
พอแกะออกมาหน้าตาจะเป็นแบบตามรูปล่าง จะวางบนกางเกงผ้าอ้อม สำหรับรองซับพวกอึหรือฉี่
แพ็คสีชมพูนี้ก็เป็นแผ่นรองซับ แต่พอคลี่ออกมาผืนค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน มีทั้งหมด 6 ผืน ซื้อที่ Akachanhonpo ราคา 1,480 เยน
คลี่ออกมาเป็นแบบนี้ ก็ต้องพับทบทั้งหมด 2 ชั้นให้ได้ขนาดเท่ากับกางเกงผ้าอ้อม
3. กระดาษรองอึ (おむつライナー)
ซื้อที่ร้าน Akachanhonpo มีทั้งหมด 220 แผ่น ราคากล่องละ 680 เยน
4. ผ้าอ้อมสำเร็จรูป สำหรับเด็กแรกเกิด 1 แพ็ค (紙おむつ) มี 68 ชิ้น ราคา 1,280 เยน
5. ทิชชูเปียกเช็คก้น (おしりふき)
ลองซื้ออันนี้มาใช้ก่อน เพราะไม่รู้ว่าเด็กจะแพ้หรือเปล่า กล่องนี้มี 50 แผ่น ราคา 399 เยน
แต่น่าจะไม่พอแน่ ๆ คงต้องไปซื้อมาเพิ่ม
6. ที่รองสำหรับไว้เปลี่ยนผ้าอ้อม อย่างตอนออกไปข้างนอก (おむつ替えシート)
พอคลี่ออกมาจะขนาดเท่ากับเบาะเล็ก ๆ ซื้อที่ร้าน Akachanhonpo ราคา 1,542 เยน
7. ถุงใส่ผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่ใช้แล้วสำหรับทิ้ง (ตอนออกไปข้างนอก) หรือไว้ใส่ผ้าอ้อมผ้าที่เปียก เพราะสามารถเก็บกลิ่นได้ (おむつ処理用ポリふくろ) ซื้อที่ร้าน Nishimatsuya ราคา 159 เยน
8. ถังใส่ผ้าอ้อมที่ใช้แล้ว
เราซื้อมา 2 ใบ สำหรับผ้าอ้อมที่เปื้อนฉี่ กับผ้าอ้อมที่เปื้อนอึ ซื้อจากร้าน 100 เยน
9. น้ำยาซักผ้า(おむつ、肌着洗い洗剤)
ไม่รู้ว่ายี่ห้อไหนดี เลยซื้ออันนี้มาลองใช้ดูก่อน เป็นแบบเซ็ทคือมีรีฟิวด้วย ราคาอยู่ที่ 1,007 เยน
10. ไม้แขวนเสื้อสำหรับเด็ก (赤ちゃんハンガー)
มี 12 อัน ราคา 409 เยน
ในหมวดนี้น่าจะไม่มีอะไรแล้วน้า...
เตรียมของเด็ก - หมวดเสื้อผ้าและผ้าชิ้นเล็ก ๆ
พอท้องได้ 7 เดือน (นับแบบญี่ปุ่น) ก็เริ่มที่จะหาซื้อของใช้สำหรับเด็ก แล้วก็ของตัวเอง
โชคดีที่ไปเจอนิตยสารเล่มนึงที่จะบอกถึงว่าน่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างถ้าเด็กคลอดช่วงเดือนนี้ ๆ จะมีของอะไรบ้าง ถ้าเป็นที่เมืองไทยร้อนตลอดปีไม่ต้องดูเรื่องอากาศก็ดีเหมือนกันเนอะ แต่ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องของฤดูเข้ามา แถมเด็กก็โตเร็ว (มีคนบอกมานะ) ก็เลยไม่ค่อยอยากซื้ออะไรมาก อย่างของเราจะคลอดประมาณเดือน ก.ค. ของที่เราเตรียมก็จะมี
หมวดเสื้อผ้าเด็ก (ไซส์เด็กแรกเกิดถึงประมาณ 2 เดือน จะอยู่ที่ 50~60)
1. 短肌着 แบบแขนสั้น 6 ตัว, แบบแขนยาว 1 ตัว
รูปข้างล่างนี้จะเป็นของคุณซู คุณแม่เขาเก็บอย่างดีเลย ^0^
โชคดีที่ไปเจอนิตยสารเล่มนึงที่จะบอกถึงว่าน่าจะต้องเตรียมอะไรบ้าง อย่างถ้าเด็กคลอดช่วงเดือนนี้ ๆ จะมีของอะไรบ้าง ถ้าเป็นที่เมืองไทยร้อนตลอดปีไม่ต้องดูเรื่องอากาศก็ดีเหมือนกันเนอะ แต่ที่ญี่ปุ่นมีเรื่องของฤดูเข้ามา แถมเด็กก็โตเร็ว (มีคนบอกมานะ) ก็เลยไม่ค่อยอยากซื้ออะไรมาก อย่างของเราจะคลอดประมาณเดือน ก.ค. ของที่เราเตรียมก็จะมี
หมวดเสื้อผ้าเด็ก (ไซส์เด็กแรกเกิดถึงประมาณ 2 เดือน จะอยู่ที่ 50~60)
1. 短肌着 แบบแขนสั้น 6 ตัว, แบบแขนยาว 1 ตัว
(รูปบนแพคนี้เป็นแบบแขนสั้น มี 2 ตัว ราคา 780 เยนซื้อจากร้านอะคะจังฮมโปะ)
(รูปแพคบนนี้เป็นแบบแขนยาว มี 1ตัว ราคา 780 เยนซื้อจากร้านอะคะจังฮมโปะ)
(รูปแพคบนนี้เป็นแบบเซ็ท มีหลาย ๆ อย่างปนกัน ทั้งหมด 10 ชิ้น ถ้าเป็น 短肌着 จะมี 4 ตัว ราคา 1,799 เยน ซื้อจากร้านนิชิมะสึยะ)
2. 長下着 1 ตัว, コンビ肌着 4 ตัว, 半袖コンビドレス 1 ตัว
จะมีที่อยู่ในเซ็ท 10 ชิ้น แล้วก็ที่ซื้อแยกแบบนี้
(รูปแพคบนนี้จะเป็น コンビ肌着 มี 2 ตัว ราคา 899 เยน ซื้อจากร้านนิชิมะสึยะ)
(รูปนี้จะเป็น 半袖コンビドレス มี 1 ตัว ราคา 779 เยน ซื้อจากร้านนิชิมะสึยะ)
ผ้าชิ้นเล็ก ๆ ที่ควรมี
1. หมวก (ใช้ของคุณซูตอนเล็ก ๆ) ^ ^
2. ถุงเท้า 1 คู่
3. ถุงมือ (ミトン) 1 คู่ (มีอยู่ในเซ็ท 10 ชิ้น ตามรูปด้านบน)
4. ผ้ากันน้ำลาย (スタイ หรือ よだれかけ) 2 ชิ้น (มีอยู่ในเซ็ท 10 ชิ้น ตามรูปด้านบน)
5. ผ้าห่อตัวเด็ก (おくるみ)=> โรงพยาบาลจะมีให้ตอนออกจากโรงพยาบาล ก็เลยยังไม่ซื้อ
รูปข้างล่างนี้จะเป็นของคุณซู คุณแม่เขาเก็บอย่างดีเลย ^0^
ส่วนหมวดอื่น ถ้าเตรียมครบแล้ว จะทยอยอัพนะคะ ^^
วันพฤหัสบดีที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2557
คู่มือแนะนำในเรื่องการคลอดที่โรงพยาบาล (แล้วแต่ที่นะ) (入院案内)
พออายุครรภ์ครบ 7 เดือน (นับแบบญี่ปุ่น) ถ้านับไทยก็ 6 เดือน ก็จะเป็นช่วงที่ต้องเตรียมของตอนที่เราอยู่โรงพยาบาล ของใช้สำหรับเด็ก และของตอนที่ออกจากโรงพยาบาล
ก่อนอื่นเราก็เอาเอกสาร (คู่มือแนะนำในเรื่องการคลอดที่โรงพยาบาล (入院案内)) ที่ได้รับจากโรงพยาบาลเมื่อตอนไปตรวจครรภ์ครั้งที่ 4 มาดูอีกครั้งนึง เพราะจะมีของบางอย่างที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว เราจะได้ไม่ต้องเตรียมเยอะ
เนื้อหาในเอกสารจะมีเรื่อง
-การตรวจครรภ์
โดยปกติแล้วตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ จะตรวจ 4 สัปดาห์ต่อครั้ง
แล้วพออายุครรภ์ 24 สัปดาห์ จนถึง 35 สัปดาห์ จะตรวจ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง
แล้วพออายุครรภ์ 36 สัปดาห์เป็นต้นไป จะตรวจ 1 สัปดาห์ต่อครั้ง
แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ อย่างเลือดออก น้ำคร่ำเดิน ท้องแข็งเป็นเวลานาน ก็ต้องรีบไปหาหมอ
-สัญญาณแสดงว่าใกล้คลอด
น้ำคร่ำเดิน, เลือดออก, ถ้าเป็นท้องแรกจะมีอาการปวดท้องคลอด 10 นาทีต่อครั้ง ถ้าไม่ใช่ท้องแรกจะมีอาการปวดท้องคลอด ตั้งแต่ 10 นาที - 15 นาทีต่อครั้ง
※แต่ถ้ามีอาการที่ผิดปกตินอกเหนือจากนี้ แล้วไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตรวจของทางโรงพยาบาล ก็จะต้องโทรศัพท์ไปก่อน
-ของที่ต้องเตรียมไปตอนที่เข้าโรงพยาบาล (แล้วแต่โรงพยาบาล)
สิ่งที่เราต้องเตรียมไปเอง : สมุดสุขภาพแม่และเด็ก, บัตรประกันสุขภาพ, บัตรคนไข้, อิงคัง (ตราประทับชื่อหรือนามสกุลของเรา), เข็มขัดคาดเอวหลังคลอด
ของที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ (แล้วแต่โรงพยาบาล)
ชุดนอน (お寝巻)、ผ้าขนหนู (バスタオル)、ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้า (フェイスタオル)ซึ่งจะเปลี่ยนให้ทุกวัน,
เสื้อคลุมยาว (ガウン)、กางเกงใน (ショーツ) 2 ตัว、เสื้อใน (ブラジャー)2 ตัว、แผ่นซับน้ำนม (マニーパット)、ผ้าอนามัย (ナプキン(LSM))、ตะเกียบ (お箸)、ของใช้อย่างแปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, ที่แปรงผม, ถ้วยน้ำ, ทิชชู) (洗面用具:ハブラシ、歯磨き粉、ヘヤーブラシ、コップ、ティッシュ)、สลิปเปอร์ (スリッパ)、
เซ็ทของที่จำเป็นในการคลอด (お産セット)、สำลีทำความสะอาด (清浄綿、消毒綿)
※ในตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจะมีเตรียมเบบี้แวร์ (ベビーウェアー)、ผ้าห่อตัวเด็ก (おくるみ)、ของขวัญในการคลอดลูกไว้ให้
※ที่ห้องอาบน้ำ จะมีพวกยาสระผม สบู่อาบน้ำ โลชั่นเตรียมไว้ให้
-ระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาล
ประมาณ 5 วัน วันที่คลอดถือเป็น 1 วัน
ในกรณีที่ผ่าคลอดจำนวนวันที่อยู่จะแตกต่างออกไป
ของที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ อาจจะดูเหมือนครบแล้ว แต่เราก็คิดว่าคงเตรียมของตัวเองไปด้วยเป็นการเผื่อจะได้ไม่ฉุกละหุกถ้าบังเอิญขาดขึ้นมา
แล้วก็ต้องดู ๆ ตามนิตยสารแม่ลูกว่าส่วนใหญ่เขาเตรียมอะไรสำหรับทารกบ้าง แล้วก็คงต้องทำเป็นรายการออกมา เพราะเคยไปเดิน ๆ ดู เลือกไม่ถูกว่าต้องใช้อะไรบ้าง ภาษาญี่ปุ่นเรียกแบบนี้หน้าตาเป็นยังไง เพราะอยากซื้อแค่ที่จำเป็นจริงๆ เพราะเดี๋ยวพอเปลี่ยนฤดูก็ต้องหาซื้ออีก
+กับเดี๋ยวเดือน เม.ย. นี้ภาษีผู้บริโภคขึ้นอีก 3 % เป็น 8% ของบางอย่างที่ใหญ่ ๆ หรือซื้อมาก่อนได้ ก็คงต้องรีบซื้อ แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะเอาที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ดีกว่า...เนอะ
ก่อนอื่นเราก็เอาเอกสาร (คู่มือแนะนำในเรื่องการคลอดที่โรงพยาบาล (入院案内)) ที่ได้รับจากโรงพยาบาลเมื่อตอนไปตรวจครรภ์ครั้งที่ 4 มาดูอีกครั้งนึง เพราะจะมีของบางอย่างที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว เราจะได้ไม่ต้องเตรียมเยอะ
เนื้อหาในเอกสารจะมีเรื่อง
-การตรวจครรภ์
โดยปกติแล้วตั้งแต่ตั้งครรภ์จนถึงอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ จะตรวจ 4 สัปดาห์ต่อครั้ง
แล้วพออายุครรภ์ 24 สัปดาห์ จนถึง 35 สัปดาห์ จะตรวจ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง
แล้วพออายุครรภ์ 36 สัปดาห์เป็นต้นไป จะตรวจ 1 สัปดาห์ต่อครั้ง
แต่ถ้ามีอาการผิดปกติ อย่างเลือดออก น้ำคร่ำเดิน ท้องแข็งเป็นเวลานาน ก็ต้องรีบไปหาหมอ
-สัญญาณแสดงว่าใกล้คลอด
น้ำคร่ำเดิน, เลือดออก, ถ้าเป็นท้องแรกจะมีอาการปวดท้องคลอด 10 นาทีต่อครั้ง ถ้าไม่ใช่ท้องแรกจะมีอาการปวดท้องคลอด ตั้งแต่ 10 นาที - 15 นาทีต่อครั้ง
※แต่ถ้ามีอาการที่ผิดปกตินอกเหนือจากนี้ แล้วไม่ใช่ช่วงเวลาที่ตรวจของทางโรงพยาบาล ก็จะต้องโทรศัพท์ไปก่อน
-ของที่ต้องเตรียมไปตอนที่เข้าโรงพยาบาล (แล้วแต่โรงพยาบาล)
สิ่งที่เราต้องเตรียมไปเอง : สมุดสุขภาพแม่และเด็ก, บัตรประกันสุขภาพ, บัตรคนไข้, อิงคัง (ตราประทับชื่อหรือนามสกุลของเรา), เข็มขัดคาดเอวหลังคลอด
ของที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ (แล้วแต่โรงพยาบาล)
ชุดนอน (お寝巻)、ผ้าขนหนู (バスタオル)、ผ้าขนหนูสำหรับเช็ดหน้า (フェイスタオル)ซึ่งจะเปลี่ยนให้ทุกวัน,
เสื้อคลุมยาว (ガウン)、กางเกงใน (ショーツ) 2 ตัว、เสื้อใน (ブラジャー)2 ตัว、แผ่นซับน้ำนม (マニーパット)、ผ้าอนามัย (ナプキン(LSM))、ตะเกียบ (お箸)、ของใช้อย่างแปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, ที่แปรงผม, ถ้วยน้ำ, ทิชชู) (洗面用具:ハブラシ、歯磨き粉、ヘヤーブラシ、コップ、ティッシュ)、สลิปเปอร์ (スリッパ)、
เซ็ทของที่จำเป็นในการคลอด (お産セット)、สำลีทำความสะอาด (清浄綿、消毒綿)
※ในตอนที่ออกจากโรงพยาบาล ทางโรงพยาบาลจะมีเตรียมเบบี้แวร์ (ベビーウェアー)、ผ้าห่อตัวเด็ก (おくるみ)、ของขวัญในการคลอดลูกไว้ให้
※ที่ห้องอาบน้ำ จะมีพวกยาสระผม สบู่อาบน้ำ โลชั่นเตรียมไว้ให้
-ระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาล
ประมาณ 5 วัน วันที่คลอดถือเป็น 1 วัน
ในกรณีที่ผ่าคลอดจำนวนวันที่อยู่จะแตกต่างออกไป
ของที่ทางโรงพยาบาลเตรียมไว้ให้ อาจจะดูเหมือนครบแล้ว แต่เราก็คิดว่าคงเตรียมของตัวเองไปด้วยเป็นการเผื่อจะได้ไม่ฉุกละหุกถ้าบังเอิญขาดขึ้นมา
แล้วก็ต้องดู ๆ ตามนิตยสารแม่ลูกว่าส่วนใหญ่เขาเตรียมอะไรสำหรับทารกบ้าง แล้วก็คงต้องทำเป็นรายการออกมา เพราะเคยไปเดิน ๆ ดู เลือกไม่ถูกว่าต้องใช้อะไรบ้าง ภาษาญี่ปุ่นเรียกแบบนี้หน้าตาเป็นยังไง เพราะอยากซื้อแค่ที่จำเป็นจริงๆ เพราะเดี๋ยวพอเปลี่ยนฤดูก็ต้องหาซื้ออีก
+กับเดี๋ยวเดือน เม.ย. นี้ภาษีผู้บริโภคขึ้นอีก 3 % เป็น 8% ของบางอย่างที่ใหญ่ ๆ หรือซื้อมาก่อนได้ ก็คงต้องรีบซื้อ แต่ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะเอาที่จำเป็นต้องใช้จริงๆ ดีกว่า...เนอะ
วันอาทิตย์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2557
เริ่มต้นทำสวนหลังจากที่หมดหน้าหนาวแล้ว (By คุณซู)
หลังจากที่หน้าหนาวผ่านไป คุณซูก็เริ่มที่จะทำสวนหละ นอกจากคุณซู เราก็เห็นผู้ชายข้างบ้านเริ่มทำสวนเหมือนกัน ตลาดต้นไม้เริ่มกลับมาคึกคัก คนเริ่มมาหาซื้อต้นไม้ไปปลูกกัน เราก็มีซื้อมาบ้างเหมือนกัน ให้คุณซูช่วยปลูกให้หละ ดอกไม้ 3 สี (จริง ๆ มีหลายสีมาก ๆ ) เป็นต้นไม้ที่ต้องการแดด
ชื่อดอกไม้ "เปจูนีอะ" (ペチュニア) ต้นละ 68 เยน
ชื่อดอกไม้ "เปจูนีอะ" (ペチュニア) ต้นละ 68 เยน
แล้วก็มาต่ออีกร้านนึง ร้านนี้มีขายดอกไม้เป็นช่อ ๆ แช่น้ำ มีต้นซากุระแช่น้ำด้วย คุณซูก็เลยซื้อมา ต้นละ 598 เยน กะจะดู Hanami (花見) ที่บ้าน แล้วค่อยลองเอาไปปลูกลงดิน แต่ไม่รู้ว่าจะขึ้นหรือเปล่า
ต้นซากุระที่บ้านก็มีดอกตูมหล่ะ แต่ยังเป็นต้นเล็กอยู่เลยออกไม่เยอะเท่าไหร่
ต้นทิวลิปกับซุยเซนก็โตขึ้นหล่ะ รอออกดอก (แต่ไม่รู้เมื่อไหร่) ^^
กำลังทำค้างอยู่เลย
เป็นรูปเป็นร่างมากกว่านี้เดี๋ยวมาอัพใหม่ ^^
วันเสาร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2557
ได้เข้าร้านซูชิแล้ว (หลังจากที่ไม่ได้เข้านานมาก ๆ)
ตั้งแต่ท้องก็ไม่ได้แวะไปทานซูชิหมุนเลย เพราะว่าเป็นปลาดิบอ่ะเนอะ ก็เลยเลี่ยงดีกว่า
ซึ่งจริงๆ แล้วทางเจ้าหน้าที่ที่อบรมคอร์สคุณแม่ก็บอกว่าทานได้ แต่ไม่ควรทานที่ปริมาณเยอะ ๆ
ซึ่งอย่างนั้นก็เถอะ เราก็ขอเลี่ยงดีกว่า
จนวันนี้อดใจไม่ไหว ชวนคุณซูไปทานแต่ก็ต้องอดใจเลือกเฉพาะอย่าง อย่างวันนี้เราเลือกทาน
1. แซลมอนย่างขอบ (焼きはらす) 2 จาน
2. ปู (かににぎり) 1 จาน
3. กุ้งอะโวคะโด้ (えびアボカド) 1 จาน
4. ปลาไหล (あなご) 1 จาน
5. นัตโตะ (納豆) 1 จาน
6. ปลาอะจิ (あじ) 1 จาน
7. อุด้ง (うどん) 1 ชาม
จริง ๆ เราจะชอบ มะงุโระ มาก ๆ แต่เพราะเป็นปลาตัวใหญ่ (ปลาตัวใหญ่จะมีพวกสารปรอทเยอะกว่า) ก็เลยต้องอดใจไว้ก่อน
แล้ววันที่ 28 มี.ค. เอาอีกแล้ว เข้าร้านอีกรอบ (><) คราวนี้ก็ทาน
1. แซลมอนย่างขอบ (焼きはらす) 1 จาน
2. ปู (かににぎり) 1 จาน
3. กุ้งอะโวคะโด้ (えびアボカド) 1 จาน
4. ปลาไหล (あなご) 1 จาน
5. นัตโตะมาคิ (納豆巻) 0.5 จาน เพราะแบ่งกับคุณซู
6. ปลาอิวะชิ (真いわし) 1 จาน
7. อิกะเทมปุระ (いか天手巻寿司) 1 จาน
เราถ่ายเมนูมาดูประกอบด้วย จะได้รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไง แล้วเดี๋ยวครั้งต่อไป จะทานที่เมนูที่ยังไม่เคยลองมาก่อน จะได้ลดความอยากลงได้บ้าง อิอิ
หลังจากทานเสร็จ เจ้าหนูนี่ดิ้นตอบรับเลยสงสัยคงชอบ^-^
วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557
ไปฟังคอร์สอบรมแม่ของสำนักงานเขต ครั้งที่ 4 (พูดเกี่ยวกับการเจ็บเตือน และการคลอด)
ไปฟังครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว แต่หลังจากคลอดเหมือนทางสำนักงานเขตก็จะมีไปรษณีย์บัตรนัดให้ไปเจอกันกับพวกแม่ ๆ เพราะพอจบการอบรมครั้งนี้ ก็มีไปรษณีย์บัตรเปล่ามาให้เขียนชื่อและที่อยู่ เพื่อจะได้แจ้งกำหนดการมาให้เราได้
เนื้อหาของการอบรมครั้งนี้ ตอนแรกก็จะให้เราดูวีดีโอตอนที่คลอด โดยจะเน้นให้ดูตอนที่คลอดว่าจะต้องหายใจเข้า หายใจออกยังไง ตอนที่หัวเด็กออกมาแล้วให้ทำยังไง พอดูเสร็จรู้สึกกลัวแล้วก็กังวลขึ้นมาเลย กลัวเจ็บ กังวลว่าเราจะทำแบบนั้นได้หรือเปล่า...
เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงที่เบ่ง พอสูดลมหายใจเข้าไปแล้ว ตอนที่จะเบ่งออกให้ปิดปาก เพราะถ้าเปิดปากหายใจออกลมเบ่งก็อาจจะผ่อนลงไปด้วย (ถ้าฟังแล้วเข้าใจไม่ผิดนะ ถ้าผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
แล้วช่วงที่หัวของเด็กเริ่มออกมาแล้ว ไม่ต้องหายใจเข้าแรง ๆ ให้พยายามมองด้านล่าง เพราะช่วงนี้หัวเด็กจะออกมา แล้วก็พยายามอย่าปิดตา เพราะเหมือนถ้าเราปิดตา แรงมันจะขึ้นไปที่ตาด้วย (ถ้าฟังแล้วเข้าใจไม่ผิดนะ ถ้าผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
หลังจากที่ดูวีดีโอจบแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพูดถึงเรื่องของการเจ็บเตือน
ในเอกสารที่ได้รับแจก จะบอกว่าการคลอดจากกำหนดวันคุณหมอบอกล่วงหน้าก่อน 3 อาทิตย์หรือช้ากว่านั้น 2 อาทิตย์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ในการเจ็บเตือนนั้นจะทิ้งช่วงเจ็บท้องประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วค่อยปวดใหม่ประมาณ 10-15 นาทีสำหรับท้องแรก แต่ถ้าคนที่เคยคลอดมาแล้วจะทิ้งช่วงเจ็บท้องประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงแล้วค่อยปวดใหม่ ถ้าเป็นแบบนี้ถือเป็นสัญญาณเตรียมคลอด ช่วงนี้ก็อาจจะเช็คของใช้ที่จะต้องนำไปโรงพยาบาลว่าเรียบร้อยดีมั้ย แต่ถ้ามีน้ำไหลออกมาให้รีบติดต่อโรงพยาบาล แล้วลองไปโรงพยาบาลดู ถ้าไม่มีอะไรคุณหมออาจจะให้กลับบ้านไปก่อน
แต่ถ้าเจ็บทุก ๆ 7-10 นาทีในท้องแรก และ 10-15 นาทีสำหรับคนที่เคยคลอด ให้ดูอาการประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าเจ็บรุนแรงขึ้นให้รีบไปโรงพยาบาล
และมีเรื่องนึงที่เราก็เพิ่งรู้จากเจ้าหน้าที่ว่า ตอนที่คลอดนอกจากแม่แล้วที่พยายามเบ่งคลอด เด็กเองก็พยายามที่จะออกมาเหมือนกัน ฟังแบบนี้แล้วก็รู้สึกทั้งแม่และเด็กต่างก็พยายามด้วยกันทั้งคู่เลย ^0^
ปล. หลังจากที่คลอดแล้วอกจะร้อน ๆ ประมาณ 3-4 วัน
ถ้าต้องการจะให้ปากมดลูกเปิดง่ายขึ้นเพื่อเตรียมคลอด ควรที่จะนวดหัวนม อกในอายุครรภ์ที่เดือน 10 (นับแบบญี่ปุ่น) ให้นวดบ่อย ๆ นวดเบา ๆ
เนื้อหาในวันนี้ก็มีประมาณเท่านี้
สิ่งที่นำไปด้วย
1. สมุดสุขภาพแม่และเด็ก
2. อุปกรณ์การเขียน
เนื้อหาของการอบรมครั้งนี้ ตอนแรกก็จะให้เราดูวีดีโอตอนที่คลอด โดยจะเน้นให้ดูตอนที่คลอดว่าจะต้องหายใจเข้า หายใจออกยังไง ตอนที่หัวเด็กออกมาแล้วให้ทำยังไง พอดูเสร็จรู้สึกกลัวแล้วก็กังวลขึ้นมาเลย กลัวเจ็บ กังวลว่าเราจะทำแบบนั้นได้หรือเปล่า...
เจ้าหน้าที่บอกว่าช่วงที่เบ่ง พอสูดลมหายใจเข้าไปแล้ว ตอนที่จะเบ่งออกให้ปิดปาก เพราะถ้าเปิดปากหายใจออกลมเบ่งก็อาจจะผ่อนลงไปด้วย (ถ้าฟังแล้วเข้าใจไม่ผิดนะ ถ้าผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
แล้วช่วงที่หัวของเด็กเริ่มออกมาแล้ว ไม่ต้องหายใจเข้าแรง ๆ ให้พยายามมองด้านล่าง เพราะช่วงนี้หัวเด็กจะออกมา แล้วก็พยายามอย่าปิดตา เพราะเหมือนถ้าเราปิดตา แรงมันจะขึ้นไปที่ตาด้วย (ถ้าฟังแล้วเข้าใจไม่ผิดนะ ถ้าผิดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย)
หลังจากที่ดูวีดีโอจบแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะพูดถึงเรื่องของการเจ็บเตือน
ในเอกสารที่ได้รับแจก จะบอกว่าการคลอดจากกำหนดวันคุณหมอบอกล่วงหน้าก่อน 3 อาทิตย์หรือช้ากว่านั้น 2 อาทิตย์ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ในการเจ็บเตือนนั้นจะทิ้งช่วงเจ็บท้องประมาณ 2-3 ชั่วโมงแล้วค่อยปวดใหม่ประมาณ 10-15 นาทีสำหรับท้องแรก แต่ถ้าคนที่เคยคลอดมาแล้วจะทิ้งช่วงเจ็บท้องประมาณ 1-1.5 ชั่วโมงแล้วค่อยปวดใหม่ ถ้าเป็นแบบนี้ถือเป็นสัญญาณเตรียมคลอด ช่วงนี้ก็อาจจะเช็คของใช้ที่จะต้องนำไปโรงพยาบาลว่าเรียบร้อยดีมั้ย แต่ถ้ามีน้ำไหลออกมาให้รีบติดต่อโรงพยาบาล แล้วลองไปโรงพยาบาลดู ถ้าไม่มีอะไรคุณหมออาจจะให้กลับบ้านไปก่อน
แต่ถ้าเจ็บทุก ๆ 7-10 นาทีในท้องแรก และ 10-15 นาทีสำหรับคนที่เคยคลอด ให้ดูอาการประมาณ 1-2 ชั่วโมง ถ้าเจ็บรุนแรงขึ้นให้รีบไปโรงพยาบาล
และมีเรื่องนึงที่เราก็เพิ่งรู้จากเจ้าหน้าที่ว่า ตอนที่คลอดนอกจากแม่แล้วที่พยายามเบ่งคลอด เด็กเองก็พยายามที่จะออกมาเหมือนกัน ฟังแบบนี้แล้วก็รู้สึกทั้งแม่และเด็กต่างก็พยายามด้วยกันทั้งคู่เลย ^0^
ปล. หลังจากที่คลอดแล้วอกจะร้อน ๆ ประมาณ 3-4 วัน
ถ้าต้องการจะให้ปากมดลูกเปิดง่ายขึ้นเพื่อเตรียมคลอด ควรที่จะนวดหัวนม อกในอายุครรภ์ที่เดือน 10 (นับแบบญี่ปุ่น) ให้นวดบ่อย ๆ นวดเบา ๆ
เนื้อหาในวันนี้ก็มีประมาณเท่านี้
สิ่งที่นำไปด้วย
1. สมุดสุขภาพแม่และเด็ก
2. อุปกรณ์การเขียน
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557
ไปอบรมคอร์สคุณแม่ของโรงพยาบาลครั้งที่ 2 (อาการผิดปกติในขณะตั้งครรภ์, อาหาร, กายบริหาร)
คอร์สคุณแม่ของโรงพยาบาลครั้งที่ 2 นี้จะสำหรับคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ประมาณ 6-7 เดือน (นับแบบญี่ปุ่น)
เนื้อหาในครั้งนี้จะพูดถึงเรื่องอาการผิดปกติในขณะตั้งครรภ์ อาหารในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 อาหารตอนที่ให้นมลูก และการบริหารร่างกายเพื่อเตรียมคลอด
อาการที่ผิดปกติจะเน้นเรื่องการปวดท้อง ถ้าใน 1 วันปวด 2-3 ครั้งก็ถือว่าไม่เป็นไร ให้พัก แต่ถ้าใน 1 ชั่วโมง ปวด 2-3 ครั้งนี่ถือว่าไม่ดีให้ไปโรงพยาบาล
สำหรับในเรื่องอาหารในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้จะเน้นธาตุเหล็ก และแคลเซียม และก็ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้ครบ 3 มื้อ ใน 1 วัน
ส่วนในช่วงให้นมลูก อาหารที่ทำให้เลือดของแม่ไม่ข้นมาก ไหลดี จะมีพวกผัก พืชตระกูลถั่ว เนื้อสัตว์ สาหร่าย สารอาหารที่มี DHA. EPA
และผักนั้นควรที่จะทานในตอนเช้า และกลางวัน ไม่ควรที่จะทานตอนเย็น เพราะจะทำให้ร่างกายเย็น
และก็มีผักที่ทำให้ร่ายกายอุ่น เช่น กระเทียม หอม หัวไช้เท้า ขิง เป็นต้น
และสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการจะควบคุมในเรื่องของอาหาร อยากให้น้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่แนะนำให้คิดเรื่องนี้หลังจากที่คลอดไปแล้ว 3 สัปดาห์
สำหรับการบริหารร่างกายเพื่อเตรียมคลอดจะคล้าย ๆ ของที่สำนักงานเขตเลย (ตามลิ้งค์)
http://jipathajapan.blogspot.jp/2014/03/3.html
สิ่งที่เอาไปด้วยในวันนี้
1. สมุดสุขภาพแม่และเด็ก
2. อุปกรณ์การเขียน
3. เอกสารที่ทางโรงพยาบาลแจกมาในครั้งแรก
เนื้อหาในครั้งนี้จะพูดถึงเรื่องอาการผิดปกติในขณะตั้งครรภ์ อาหารในช่วงตั้งครรภ์ไตรมาส 2 อาหารตอนที่ให้นมลูก และการบริหารร่างกายเพื่อเตรียมคลอด
อาการที่ผิดปกติจะเน้นเรื่องการปวดท้อง ถ้าใน 1 วันปวด 2-3 ครั้งก็ถือว่าไม่เป็นไร ให้พัก แต่ถ้าใน 1 ชั่วโมง ปวด 2-3 ครั้งนี่ถือว่าไม่ดีให้ไปโรงพยาบาล
สำหรับในเรื่องอาหารในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้จะเน้นธาตุเหล็ก และแคลเซียม และก็ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ให้ครบ 3 มื้อ ใน 1 วัน
ส่วนในช่วงให้นมลูก อาหารที่ทำให้เลือดของแม่ไม่ข้นมาก ไหลดี จะมีพวกผัก พืชตระกูลถั่ว เนื้อสัตว์ สาหร่าย สารอาหารที่มี DHA. EPA
และผักนั้นควรที่จะทานในตอนเช้า และกลางวัน ไม่ควรที่จะทานตอนเย็น เพราะจะทำให้ร่างกายเย็น
และก็มีผักที่ทำให้ร่ายกายอุ่น เช่น กระเทียม หอม หัวไช้เท้า ขิง เป็นต้น
และสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ต้องการจะควบคุมในเรื่องของอาหาร อยากให้น้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่แนะนำให้คิดเรื่องนี้หลังจากที่คลอดไปแล้ว 3 สัปดาห์
สำหรับการบริหารร่างกายเพื่อเตรียมคลอดจะคล้าย ๆ ของที่สำนักงานเขตเลย (ตามลิ้งค์)
http://jipathajapan.blogspot.jp/2014/03/3.html
สิ่งที่เอาไปด้วยในวันนี้
1. สมุดสุขภาพแม่และเด็ก
2. อุปกรณ์การเขียน
3. เอกสารที่ทางโรงพยาบาลแจกมาในครั้งแรก
วันพุธที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2557
ไปฟังคอร์สอบรมแม่ของสำนักงานเขต ครั้งที่ 3 (พูดเกี่ยวกับฟัน และสอนท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น)
ในครั้งที่ 3 นี้จะอบรมช่วงบ่าย ครั้งนี้ครึ่งแรกจะพูดถึงเรื่องการฟัน ส่วนครึ่งหลังจะเป็นการสอนท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น
เนื้อหาที่พูดถึงในช่วงแรก
ปัญหาเกี่ยวกับฟันที่จะเกิดขึ้นเป็นพิเศษในช่วงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เป็นโรคปริทันต์ (โรคเหงือกอักเสบ) เพิ่มง่ายขึ้น นอกจากสาเหตุที่ว่าแล้ว ช่วงที่แพ้ท้อง หรือช่วงที่การทานอาหารที่เพิ่มมากขึ้น ก็ส่งผลให้การดูแลช่องปากเป็นไปได้ยากขึ้น
ปัญหาเกี่ยวกับฟันที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังคลอดและช่วงเลี้ยงลูก หลังจากที่คลอดลูกแล้ว คงไม่มีเวลาพอที่การดูแลฟันของตัวเอง และคงไม่มีเวลาพอที่จะไปหาหมอฟัน ก็จะทำให้ฟันของแม่นั้นผุได้ง่าย เมื่อฟันของแม่ผุ ก็จะส่งผลไปถึงลูกด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้ว การดูแลฟันของแม่เป็นยังไงตั้งแต่ตั้งท้อง ก็มีผลต่อฟันของลูกตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ในครรภ์แล้ว เพราะฟันของทารกในครรภ์เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ตอนที่อายุครรภ์ 6-7 สัปดาห์ ดังนั้นคุณแม่จะต้องดูแลฟันของตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง หลังอาหารและก่อนนอนควรแปรงฟัน ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ในการทานอาหารควรที่จะค่อย ๆ เคี้ยว
ฟันของเด็กจะขึ้นเมื่อไหร่นั้น ไม่ต้องสนใจว่าขึ้นช้าหรือเร็ว เพราะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วย แต่ถ้าฟันขึ้นช้ามากให้ไปปรึกษาแพทย์
หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้ว ช่วงที่ทำให้ฟันผุถ่ายทอดไปยังเด็กได้ง่ายก็คือช่วงที่เด็กอายุ 19 เดือน - 31 เดือน อย่างตอนที่เราจะป้อนอาหารให้เด็ก หรือก่อนที่จะให้เด็กทานอะไร พ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงก็อาจจะเอาเข้าปากของตัวเองก่อน เป่าให้หายร้อน แล้วค่อยให้เด็กทาน ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้แหละ จะเป็นการถ่ายทอดฟันผุของคน ๆ นั้น ให้กับเด็ก
สารอาหารที่จำเป็นต่อฟันจะมี โปรตีน วิตามิน A,C,D แคลเซียม
การดูแลฟันของเด็กตั้งแต่ที่เริ่มมีฟัน - 1 ขวบครึ่ง ก็คือการแปรงฟันให้เด็กโดยเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กอ่อน และพออายุครบ 1.5 ขวบแล้วก็พาไปตรวจฟัน
เนื้อหาที่พูดถึงในช่วงหลัง จะเป็นการสอนท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น
ที่ญี่ปุ่นจะเน้นให้คลอดเอง จะไม่นิยมผ่าคลอด นอกจากกรณีพิเศษจริง ๆ เพราะฉะนั้นท่าที่สอนในวันนี้จะเป็นท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น
ท่าขัดสมาธิ
เนื้อหาที่พูดถึงในช่วงแรก
ปัญหาเกี่ยวกับฟันที่จะเกิดขึ้นเป็นพิเศษในช่วงที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้แบคทีเรียที่เป็นสาเหตุให้เป็นโรคปริทันต์ (โรคเหงือกอักเสบ) เพิ่มง่ายขึ้น นอกจากสาเหตุที่ว่าแล้ว ช่วงที่แพ้ท้อง หรือช่วงที่การทานอาหารที่เพิ่มมากขึ้น ก็ส่งผลให้การดูแลช่องปากเป็นไปได้ยากขึ้น
ปัญหาเกี่ยวกับฟันที่จะเกิดขึ้นในช่วงหลังคลอดและช่วงเลี้ยงลูก หลังจากที่คลอดลูกแล้ว คงไม่มีเวลาพอที่การดูแลฟันของตัวเอง และคงไม่มีเวลาพอที่จะไปหาหมอฟัน ก็จะทำให้ฟันของแม่นั้นผุได้ง่าย เมื่อฟันของแม่ผุ ก็จะส่งผลไปถึงลูกด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้ว การดูแลฟันของแม่เป็นยังไงตั้งแต่ตั้งท้อง ก็มีผลต่อฟันของลูกตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ในครรภ์แล้ว เพราะฟันของทารกในครรภ์เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ตอนที่อายุครรภ์ 6-7 สัปดาห์ ดังนั้นคุณแม่จะต้องดูแลฟันของตัวเองให้มีสุขภาพแข็งแรง หลังอาหารและก่อนนอนควรแปรงฟัน ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ ในการทานอาหารควรที่จะค่อย ๆ เคี้ยว
ฟันของเด็กจะขึ้นเมื่อไหร่นั้น ไม่ต้องสนใจว่าขึ้นช้าหรือเร็ว เพราะขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วย แต่ถ้าฟันขึ้นช้ามากให้ไปปรึกษาแพทย์
หลังจากที่เด็กคลอดออกมาแล้ว ช่วงที่ทำให้ฟันผุถ่ายทอดไปยังเด็กได้ง่ายก็คือช่วงที่เด็กอายุ 19 เดือน - 31 เดือน อย่างตอนที่เราจะป้อนอาหารให้เด็ก หรือก่อนที่จะให้เด็กทานอะไร พ่อแม่หรือคนที่เลี้ยงก็อาจจะเอาเข้าปากของตัวเองก่อน เป่าให้หายร้อน แล้วค่อยให้เด็กทาน ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้แหละ จะเป็นการถ่ายทอดฟันผุของคน ๆ นั้น ให้กับเด็ก
สารอาหารที่จำเป็นต่อฟันจะมี โปรตีน วิตามิน A,C,D แคลเซียม
การดูแลฟันของเด็กตั้งแต่ที่เริ่มมีฟัน - 1 ขวบครึ่ง ก็คือการแปรงฟันให้เด็กโดยเลือกใช้ยาสีฟันสำหรับเด็กอ่อน และพออายุครบ 1.5 ขวบแล้วก็พาไปตรวจฟัน
เนื้อหาที่พูดถึงในช่วงหลัง จะเป็นการสอนท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น
ที่ญี่ปุ่นจะเน้นให้คลอดเอง จะไม่นิยมผ่าคลอด นอกจากกรณีพิเศษจริง ๆ เพราะฉะนั้นท่าที่สอนในวันนี้จะเป็นท่าที่ช่วยทำให้การคลอดง่ายขึ้น
ท่าขัดสมาธิ
ท่าตั้งเข่าขึ้นทั้ง 2 ข้าง แล้วยกก้นขึ้นแล้วลง
ท่ายกเข่าทั้ง 2 ขี้น แล้วก็เอียงวางกับพื้นข้างละ 5 - 10 ครั้ง พอทำเสร็จด้านนึง ก็ให้ทำแบบเดียวกันอีกด้านหนึ่ง
ท่ายกเข่าข้างใดข้างหนึ่งขึ้น แล้ววางราบกับพื้นประมาณ 5 - 10 ครั้ง พอทำเสร็จด้านนึง ก็ให้ทำแบบเดียวกันอีกด้านหนึ่ง
ท่าแมว (รูปกลับด้านไปหน่อย) สูดหายใจเข้าแล้วก้มหน้า ให้หลังโก่ง ๆ แล้วก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับปล่อยลมหายใจออก ประมาณ 10 ครั้ง
ท่านอนที่ช่วยให้ผ่อนคลาย (รูปกลับหัวไปหน่อย) แล้วแต่ว่าคุณแม่ตะแคงนอนด้านไหนแล้วทำให้รู้สึกดี ก็นอนด้านนั้น
เนื้อหาวันนี้ก็ประมาณนี้ค่ะ
สิ่งที่ต้องนำไปในวันอบรม
1. สมุดสุขภาพแม่และเด็ก
2. อุปกรณ์การเขียน
วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557
โรคแพ้เกสรดอกไม้ที่มาพร้อมกับฤดูใบไม้ผลิ
เราเริ่มรู้สึกว่าช่วงกลางวันจะนานขึ้น สังเกตได้จากพระอาทิตย์ตกช้าลง ซึ่งก็เป็นการดี เพราะจะได้อุ่นขึ้น แต่เรากลับรู้สึกว่าไม่เห็นจะอุ่นขึ้นเลย อย่างดูพยากรณ์ช่วงอาทิตย์นี้ อุณหภูมิก็ยังคล้าย ๆ กับช่วงหน้าหนาวอ่ะ มีสูงบ้างก็แค่เล็กน้อย
แต่ว่าคุณซูไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เพราะพอเข้าฤดูนี้ก็จะเป็นโรคแพ้เกสรดอกไม้ (คะฟุงโช) ซึ่งเราว่าอีกหน่อยเราก็คงจะเป็น เพราะเห็นคนไทยคนอื่น ๆที่มาอยู่นาน ๆ ก็เป็นกัน ดูจากคุณซูแล้ว รู้สึกทรมานเหมือนกัน
อาการคือ
จามบ่อย มีน้ำมูกตลอด
คันตา
หายใจลำบาก
ช่วงนี้ก็เลยเปลี่ยนจากทิชชูที่เคยใช้ เป็น โลชั่นทิชชู
ซื้อยาหยอดตาสำหรับโรคภูมิแพ้มาใช้
ซื้อตัวนี้มาแปะที่จมูกตอนนอนเพราะช่วยลดการคัดจมูก
ซื้อยาลดน้ำมูก ลดการจาม (เป็นยากลุ่มสำหรับโพรงจมูกอักเสบ) (รูปกลับด้านไปหน่อย)
ดมยาดมที่เราซื้อมาจากไทย
บ้วนปากทุกครั้งหลังจากกลับมาจากข้างนอก
ช่วงนี้ถึงอากาศจะดีมาก ๆ แดดออก ก็จะต้องตากผ้าในบ้าน เพราะกลัวละอองเกสรปลิวมาติดที่เสื้อ
เดี๋ยวคุณซูกะว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็คงต้องไปหาหมอ
ก็ขอให้หายเร็ว ๆ นะ
แต่ว่าคุณซูไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ เพราะพอเข้าฤดูนี้ก็จะเป็นโรคแพ้เกสรดอกไม้ (คะฟุงโช) ซึ่งเราว่าอีกหน่อยเราก็คงจะเป็น เพราะเห็นคนไทยคนอื่น ๆที่มาอยู่นาน ๆ ก็เป็นกัน ดูจากคุณซูแล้ว รู้สึกทรมานเหมือนกัน
อาการคือ
จามบ่อย มีน้ำมูกตลอด
คันตา
หายใจลำบาก
ช่วงนี้ก็เลยเปลี่ยนจากทิชชูที่เคยใช้ เป็น โลชั่นทิชชู
ซื้อยาหยอดตาสำหรับโรคภูมิแพ้มาใช้
ซื้อตัวนี้มาแปะที่จมูกตอนนอนเพราะช่วยลดการคัดจมูก
ซื้อยาลดน้ำมูก ลดการจาม (เป็นยากลุ่มสำหรับโพรงจมูกอักเสบ) (รูปกลับด้านไปหน่อย)
ดมยาดมที่เราซื้อมาจากไทย
บ้วนปากทุกครั้งหลังจากกลับมาจากข้างนอก
ช่วงนี้ถึงอากาศจะดีมาก ๆ แดดออก ก็จะต้องตากผ้าในบ้าน เพราะกลัวละอองเกสรปลิวมาติดที่เสื้อ
เดี๋ยวคุณซูกะว่าถ้าไม่ดีขึ้นก็คงต้องไปหาหมอ
ก็ขอให้หายเร็ว ๆ นะ
วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557
ตรวจครรภ์ครั้งที่ 5 ที่โรงพยาบาลญี่ปุ่น (อายุครรภ์ที่ 20 สัปดาห์กว่า ๆ)
วันนี้มีนัดตรวจครรภ์ (อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ กว่า ๆ )
พอไปถึงเคาน์เตอร์ ก็ยื่นบัตรนัด บัตรคนไข้ สมุดสุขภาพแม่และเด็ก แล้วก็สมุดช่วยค่าตรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะขอบัตรประกันสุขภาพ เพราะว่าเป็นการมาตรวจในเดือนใหม่
ขั้นตอนจากนั้นก็เหมือนเดิมคือ ไปเก็บปัสสาวะ แล้วก็วัดความดัน (ลืมบอกไปว่าที่ญี่ปุ่นจะให้เราความความดันเอง จะมีเครื่องวางอยู่แถว ๆ นั้น วัดเสร็จก็เอากระดาษที่ปริ้นท์ออกมายื่นให้พนักงาน)
จากนั้นก็รอเรียกพบคุณหมอ ระหว่างที่รอคุณหมอ (คุณหมอมีธุระที่ชั้น 2) นอนรอไปรอมา เริ่มปวดหลัง จริงๆ พยาบาลก็บอกให้นอนท่าสบาย ๆ แต่เราขี้เกียจพลิกไปพลิกมาเอง แหะ ๆ
พอคุณหมอมาถึงก็อัลตราซาวด์ดู ดูหลายมุม หลายด้านที่คุณหมอให้ดู เจ้าหนูโตกว่าครั้งที่แล้วเยอะเชียว คุณหมอก็พูดว่า ครั้งต่อไปภาพถ่ายที่จะให้คงเห็นไม่เต็มตัวแล้ว เพราะเด็กจะโตขึ้นมาก
แล้วคุณหมอก็ให้ฟังเสียงหัวใจ เต้นแข็งแรงดี น้ำหนักของเจ้าหนูตอนนี้ก็ 398 กรัม คุณหมอไม่ได้พูดว่าตัวเล็กไปหรือใหญ่ไป แต่คุณหมอเตือนเราเรื่องน้ำหนักของแม่ เพราะจากครั้งที่แล้วที่มาตรวจ ผ่านไป 1 เดือน ขึ้นมาถึง 2.5 กิโล โดนคุณหมอให้ควบคุมน้ำหนัก (น้ำหนักก่อนท้องจนถึงตอนนี้ขึ้นมา 6.5 กิโล)
พอซาวด์เสร็จ เราก็มาปรึกษาคุณหมอเรื่องการตรวจฟันช่วงนี้ เพราะเริ่ม ๆ ปวดหน่อย ๆ เคยอ่านเจอว่าถ้าจะตรวจฟันให้ทำได้ประมาณช่วงอายุครรภ์ช่วงนี้ แต่คุณหมอที่นี่กลับไม่แนะนำให้ไปตรวจอ่ะ (ถ้าเป็นไปได้) เพราะเคยมีเคสที่ว่ามีคนไปตรวจที่คลินิคที่หนึ่งหลังจากนั้นก็ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะถ้าจะไปตรวจกับคลีนิคที่ผู้หญิงคนนั้นไปตรวจด้วยแล้ว คุณหมอยิ่งไม่แนะนำเลย
สรุปเราก็เลยไม่ไปตรวจฟันแหละ รักษาความสะอาดของฟันให้บ่อยขึ้นแทน
ก็เป็นอันเสร็จการตรวจครรภ์วันนี้ ค่าตรวจ 1,820 เยน
แล้วนัดครั้งต่อไปก็อีก 4 สัปดาห์
อ้อเราลืมบอกไปว่าตอนที่ไปตรวจครั้งที่ 4 เราก็ปรึกษาคุณหมอเรื่องเจาะน้ำคร่ำ คุณหมอไม่แนะนำอ่ะ เพราะอะไรเราก็ฟังไม่ค่อยทันเหมือนกัน ก็เลยถามคุณซูเพื่อความชัวร์ว่า คุณหมอไม่แนะนำใช่มั้ยแล้วคุณหมอพูดว่าอะไร คุณซูก็บอกว่าใช่แล้วก็อธิบายมา ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าทำไม แล้วอีกอย่างคุณซูก็ไม่อยากให้เจาะด้วย ก็เลยไม่ได้เจาะ
พอไปถึงเคาน์เตอร์ ก็ยื่นบัตรนัด บัตรคนไข้ สมุดสุขภาพแม่และเด็ก แล้วก็สมุดช่วยค่าตรวจ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะขอบัตรประกันสุขภาพ เพราะว่าเป็นการมาตรวจในเดือนใหม่
ขั้นตอนจากนั้นก็เหมือนเดิมคือ ไปเก็บปัสสาวะ แล้วก็วัดความดัน (ลืมบอกไปว่าที่ญี่ปุ่นจะให้เราความความดันเอง จะมีเครื่องวางอยู่แถว ๆ นั้น วัดเสร็จก็เอากระดาษที่ปริ้นท์ออกมายื่นให้พนักงาน)
จากนั้นก็รอเรียกพบคุณหมอ ระหว่างที่รอคุณหมอ (คุณหมอมีธุระที่ชั้น 2) นอนรอไปรอมา เริ่มปวดหลัง จริงๆ พยาบาลก็บอกให้นอนท่าสบาย ๆ แต่เราขี้เกียจพลิกไปพลิกมาเอง แหะ ๆ
พอคุณหมอมาถึงก็อัลตราซาวด์ดู ดูหลายมุม หลายด้านที่คุณหมอให้ดู เจ้าหนูโตกว่าครั้งที่แล้วเยอะเชียว คุณหมอก็พูดว่า ครั้งต่อไปภาพถ่ายที่จะให้คงเห็นไม่เต็มตัวแล้ว เพราะเด็กจะโตขึ้นมาก
แล้วคุณหมอก็ให้ฟังเสียงหัวใจ เต้นแข็งแรงดี น้ำหนักของเจ้าหนูตอนนี้ก็ 398 กรัม คุณหมอไม่ได้พูดว่าตัวเล็กไปหรือใหญ่ไป แต่คุณหมอเตือนเราเรื่องน้ำหนักของแม่ เพราะจากครั้งที่แล้วที่มาตรวจ ผ่านไป 1 เดือน ขึ้นมาถึง 2.5 กิโล โดนคุณหมอให้ควบคุมน้ำหนัก (น้ำหนักก่อนท้องจนถึงตอนนี้ขึ้นมา 6.5 กิโล)
พอซาวด์เสร็จ เราก็มาปรึกษาคุณหมอเรื่องการตรวจฟันช่วงนี้ เพราะเริ่ม ๆ ปวดหน่อย ๆ เคยอ่านเจอว่าถ้าจะตรวจฟันให้ทำได้ประมาณช่วงอายุครรภ์ช่วงนี้ แต่คุณหมอที่นี่กลับไม่แนะนำให้ไปตรวจอ่ะ (ถ้าเป็นไปได้) เพราะเคยมีเคสที่ว่ามีคนไปตรวจที่คลินิคที่หนึ่งหลังจากนั้นก็ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด โดยเฉพาะถ้าจะไปตรวจกับคลีนิคที่ผู้หญิงคนนั้นไปตรวจด้วยแล้ว คุณหมอยิ่งไม่แนะนำเลย
สรุปเราก็เลยไม่ไปตรวจฟันแหละ รักษาความสะอาดของฟันให้บ่อยขึ้นแทน
ก็เป็นอันเสร็จการตรวจครรภ์วันนี้ ค่าตรวจ 1,820 เยน
แล้วนัดครั้งต่อไปก็อีก 4 สัปดาห์
อ้อเราลืมบอกไปว่าตอนที่ไปตรวจครั้งที่ 4 เราก็ปรึกษาคุณหมอเรื่องเจาะน้ำคร่ำ คุณหมอไม่แนะนำอ่ะ เพราะอะไรเราก็ฟังไม่ค่อยทันเหมือนกัน ก็เลยถามคุณซูเพื่อความชัวร์ว่า คุณหมอไม่แนะนำใช่มั้ยแล้วคุณหมอพูดว่าอะไร คุณซูก็บอกว่าใช่แล้วก็อธิบายมา ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดีว่าทำไม แล้วอีกอย่างคุณซูก็ไม่อยากให้เจาะด้วย ก็เลยไม่ได้เจาะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
-
ก่อนกลับไทยก็ต้องมีของติดไม้ติดมือกลับไปฝากที่บ้าน ญาติ แล้วก็เพื่อน ๆ ก็จะด้วยเรื่องงบที่ตั้งไว้ ของบางอย่างก็กะว่าจะแบ่งกระจาย ๆ กัน เร...
-
พอดีไปอ่านเจอในนิตยสารของญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่อง สารอาหารของเด็กในการส่งเสริมสุขภาพกายและใจก็คือ "การนอนหลับ" น่าสนใจดี เลยลองแปลเ...
-
สวัสดีค่ะ อุณหภูมิวันนี้ 19/6 องศา ไม่หนาวมากเกินไป กำลังดี แล้วในวันนี้เราขอแนะนำแฟชั่นฤดูใบไม้ผลิของญี่ปุ่น (ตามนิตยสารที่เรามีอยู่) เห็...