นับย้อนหลังไป ก.ค. ปี 2555 เรากับคุณซูทำเรื่องจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย
แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน (เพราะเป็นการแต่งงานกับคนต่างชาติ
เรากับคุณซูเลยจะทำเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยก่อน
ได้วีซ่าแล้วค่อยแต่งงานไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น) นี่ก็ครบ 1 ปีกว่า ๆ
หล่ะที่ทำเรื่องจดทะเบียนที่เมืองไทยเสร็จเรียบร้อย
ส่วนชีวิตคู่ ณ ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 7 เดือนกว่า ๆ แล้ว จะว่าเร็วก็เร็ว
แต่ก็มีเรื่องของความไม่เข้าใจกัน รู้สึกไม่ดี
ตั้งแต่เดือนแรกที่เรามาใช้ชีวิตที่นี่เลยหล่ะ เราจดใส่สมุดโน๊ตเลยว่า
"ไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าคิดยังไง ทำไมพูดอ้อม ๆ ไม่ชัดเจน
หรือว่าคนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ" เขียนไว้เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 13 เวลา 23.45
น.
ซึ่งเรื่องนี้เราก็คุยกับคุณซูว่าอยากให้พูดให้ชัดเจนไปเลย
เขาก็บอกว่าคนญี่ปุ่นจะเป็นสไตล์นี้อยู่แล้ว เราก็เลยบอกไปเลยว่า
สำหรับเราไม่ต้องอ้อม เพราะยิ่งอ้อมยิ่งไม่เคลียร์
ซึ่งตอนนั้นกว่าจะกล้าพูดก็ปาเข้าไปเดือน มิ.ย. แล้วหล่ะ
เพราะอยากให้เข้าใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาหลัก ๆ ก็คือเรื่องภาษาญี่ปุ่น
ถึงเราจะพอได้ภาษามาบ้าง แต่ก็ยังเป็นอุปสรรคอยู่ดี แล้วยิ่งมาเจออ้อม ๆ
อีกนี่ยิ่งไปกันใหญ่
เราก็ถือว่าโชคดีตรงที่คุณซูไม่ได้ให้ที่บ้านมายุ่งอะไรกับเรามาก
ปัญหากับครอบครัวสามีเลยไม่มี
การใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นซึ่งหลาย ๆ คนก็รู้ ๆ อยู่แล้วว่าค่าครองชีพที่นี่สูงมาก
และตอนนี้คุณซูก็เป็นเสาหลักหาเลี้ยงอยู่คนเดียว ส่วนเราก็มีหน้าที่เป็นแม่บ้าน
ซึ่งคุณซูก็ให้ความไว้วางใจในการให้เราดูแลเรื่องบัญชีทุกอย่างภายในบ้าน
เราก็เลยต้องทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายขึ้นมา จะได้รู้ว่าเดือน ๆ นึงรับเท่าไหร่
จ่ายเท่าไหร่
ตอนอยู่เมืองไทยก็ทำเหมือนกัน แต่ไม่ละเอียดเท่านี้
อยู่ที่นี่ต้องขอใบเสร็จทุกครั้งที่ซื้อของ
ถ้าร้านไหนไม่มีนี่ต้องจดตัวเลขไว้แล้วเอากลับมาทำบัญชี
และตอนแรกจะให้คุณซูเอาบิลที่เขาใช้มาเคลียร์ แต่ถ้าเราไม่ทวงก็มักจะลืมให้
ทุกวันนี้เลยจัดการจัดระเบียบกระเป๋าคุณซูซะเลย มีใบเสร็จกี่ใบ เหลือเท่าไหร่
ดูเหมือนคุณซูจะชอบมากกว่าที่เขาต้องยื่นใบเสร็จเอง นับเงินที่เหลือเอง
(เป็นงั้นไป)
รูปนี้ตะกร้าใส่ใบเสร็จของเรา (ตั้งแต่เดือน ม.ค. 56 ถึงปัจจุบัน)
ทุกวันนี้เรายังไม่มีรายได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราที่จะทำได้ก็คือ
"การประหยัด" อย่างค่าไฟที่เราทำอยู่ก็คือ ถ้าอยู่คนเดียว อากาศร้อนก็เปิดพัดลม
เปิดหน้าต่าง ถ้าอากาศเย็น ๆ ก็เปิดแค่หน้าต่าง
หน้าหนาวถ้าทนอยู่ได้ก็จะพยายามไม่เปิดฮิทเตอร์
ปลั๊กไฟอันไหนที่ไม่ใช้ก็ไม่เสียบคาไว้ ก็ได้ผลเหมือนกันนะ
ค่ากับข้าว ก็จะซื้อมาพอดี ๆ สำหรับ 1 วัน หรือมากสุดแค่ 2 วัน
เพราะพอซื้อมาเยอะ ทานไม่หมด เก็บไว้ตู้เย็น หมดอายุพอดี
อันนี้น่าจะเป็นการเปลืองมากกว่า เราชอบที่ตู้เย็นโล่ง ๆ นะ (มีของ แต่ไม่ล้น)
เพราะดูหยิบจับอะไรได้สะดวก รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน หมดอายุวันไหน
เราไม่อยากให้ตู้เย็นมีแต่ของเน่าเสีย ยิ่งหน้าร้อนด้วยแล้ว ของเน่าเสียเร็วมาก ๆ
และเวลาไปซื้อของสดที่ซุปเปอร์ ก็จะไปเย็น ๆ หน่อย
ของเราจะพยายามเลือกที่เขาติดป้ายลดราคาแล้ว จะถูกหน่อย
แล้วก็เอามาทำกับข้าวเลย
ทุกวันนี้เงินออมก็ยังไม่ค่อยมีกับเขาหรอกนะ แต่สูตรนี้เราก็จะใช้ไปตลอดคือ
รายได้ - เงินออมโดยประมาณ = รายจ่าย
วันนี้ยังทำไม่สำเร็จ สักวันนึงคงทำได้ คิดไว้แบบนี้ตลอด (555)
กิจกรรมของครอบครัวเวลาที่คุณซูอยู่บ้าน (ไม่ทุกครั้งนะ)
ก็จะมีออกไปข้างนอกด้วยกัน ไปดูร้านต้นไม้ ดูของ อย่างวันนี้ 1 ส.ค. 56 ก็ได้ต้นไม้
ได้ตุ๊กตา Line (ตัวเล็ก) ได้มะละกอมา
กว่าจะได้เจ้า 2 ตัวนี้มา หมดไปหลายร้อยเยน เงินออมคงลดลงบ้างเล็กน้อย
แต่ก็นานที คุณซูจะได้คลายเครียดด้วย (แต่คงไม่ให้บ่อย
)
ส่วนต้นไม้เป็นงานอดิเรกของคุณซู เราทั้งสองคนก็จะพยายามเลือกต้นนึงไม่ให้เกิน
150 เยน
ต้นมะเขือสีม่วง เผื่อออกผล จะได้ไม่ต้องไปซื้อ
แตงกวา (ใบหักเพราะโดนมะเขือเบียด
ไม้ดอกไช้เพิ่มสีสันสำหรับสวน
ส่วนอันนี้เป็นมะละกอ (เทียบกับมือถือ) ตอนแรกนึกว่ามะม่วงซะอีก
คุณซูอยากกินมาก ไปเห็นต้นมะละกอที่ร้าน เลยอยากกินผล
แต่ไม่มีขายที่ซุปเปอร์แถวบ้าน ลูกนี้ถึงขนาดไปซื้อที่ห้างที่ไกลออกไปหน่อย
ตอนนั้นก็ 2 ทุ่มกว่า ๆ กลับถึงบ้าน จะทำกับข้าว คุณซูบอกว่าเดี๋ยวมา
จะไปซื้อมะละกอ แล้วก็ถามเราว่าจะไปด้วยมั้ย ไปก็ไป
ก็ได้รู้ความในใจคุณซูที่เขาบอกมาว่า รู้สึกดีที่เราไปเป็นเพื่อนเขา
ราคาค่อนข้างแพง แต่นาน ๆ ทีอ่ะเนอะ ^^