วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เขาไม่ให้ยืนตรงรอยต่อระหว่างเสื่อทะทะมิกับเสื่อทะทะมิ

วันก่อนเราเห็นคุณซูเหยียบตรงขอบประตู เราก็เลยบอกว่าอย่าเหยียบ ให้ใช้ข้ามเอา คุณซูก็ถามว่าทำไม เราก็เลยบอกว่า มีคนบอกมาอีกทีว่าให้ข้าม เพราะเกี่ยวกับพระแม่ธรณี...
(ถ้าใครรู้เรื่องนี้ รบกวนขอข้อมูลทางคอมเม้นท์หน่อยนะคะ จะได้ไปอธิบายให้ละเอียดอีกที ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ^^ )

คุณซูก็เลยบอกมาว่า แล้วรู้มั้ยว่า เขาไม่ให้ยืนบริเวณรอยต่อระหว่างเสื่อทะทะมิกับเสื่อทะทะมิ เพราะว่าสมัยก่อนนินจาเขาจะแทงดาบขึ้นมาจากข้างล่างตรงรอยต่อนี้ เพราะรอยต่อนี้เป็นส่วนที่นิ่มที่สุด

ในรูปนี้ ก็จะตรงที่เป็นสีเขียว ๆ





ก็ไม่รู้ว่าจะทำกันมาถึงปัจจุบันหรือเปล่า แต่พอคุณซูบอกแบบนั้น เราก็พยายามไม่ยืนตรงนั้นไปเลย (เป็นคนว่าง่ายจริง ๆ เลยเรา)





แนะนำตัวดับกลิ่นในถังขยะ

ตั้งแต่เข้าหน้าร้อนมา เรื่องกลิ่นนี่ก็ตามมาด้วย ไม่ว่าจะกลิ่นเหงื่อ ฯ
และอย่างกลิ่นขยะก็เหมือนกัน แถวบ้านเรา รถขยะจะมาเก็บขยะสด (ขยะที่เผาได้) ในวันจันทร์กับวันพฤหัสฯ ซึ่งขยะที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ก็จะต้องทิ้งไว้ที่บ้านก่อน ถังขยะถึงเป็นแบบมีฝาปิดได้ ตอนปิดอยู่ก็ไม่มีกลิ่นอ่ะนะ แต่พอเปิดจะทิ้งนี่สิ อืม...
ตอนหน้าหนาว เราแทบไม่รู้สึกเลยว่า มีกลิ่นขยะ แต่พอเข้าหน้าร้อนนี่แหล่ะ คุณซูเลยแนะนำว่ามีตัวดับกลิ่นในถังขยะด้วยนะ  จริงอ่ะ มีแบบนี้ขายด้วยเหรอ

ขนาดว่าถ้าเป็นของสด เราจะใส่ถุงกันอีกชั้นแล้วมัดปากถุงให้แน่น และค่อยทิ้งในถังขยะ ก็ยังมีกลิ่นอยู่ดี
ก็เลยลองใช้ตามที่คุณซูแนะนำดู
หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ อันนี้จะสำหรับถังขยะ มี 2 อัน จะได้ทั้งแบบแปะ กับแบบแขวน



เราเลือกใช้แบบแปะก่อน











จะว่าไปก็ได้ผลเหมือนกันนะ เปิดถังขยะก็จะมีกลิ่นของเจ้าตัวนี้ออกมาด้วย แต่ต้องดูซักพักว่าใช้ไปใช้มากลิ่นจะไปตีกับกลิ่นขยะหรือเปล่า 555



กลับมาออกกำลังกายอีกครั้ง

บริษัทของคุณซูจะมีการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งคุณหมอก็สั่งคุณซูมาเลยว่าต้องดูแลตัวเองดี ๆ เพราะคุณซูเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร เพราะไม่ได้มีปัญหาในการใช้ชีวิตเท่าไหร่ (ณ ตอนนี้นะ) แต่จริงๆ แล้วโรคนี้ก็เป็นโรคที่น่ากลัวมากอีกโรคหนึ่ง เพราะถ้าไม่ควมคุมก็จะทำให้เป็นโรคต่าง ๆ ตามมา อย่างโรคหัวใจ โรคไต

ทุกวันนี้เราก็จะมาดูเรื่องอาหาร พยายามไม่ใช้น้ำมันในการทำอาหารใช้น้ำแทน พยายามลดของเค็ม เน้นกับข้าวที่เป็นผัก เน้นทำกับข้าวแบบใส่พวกขิง

แล้วคุณซูเลยไปซื้อเครื่องวัดความดันสำหรับวัดที่บ้านมา เห็นวัดเช้ากับกลางคืน แล้วก็จดผลการวัดไว้ เตรียมให้คุณหมอดู



สมุดจด



นอกจากนี้ก็ต้องออกกำลังกาย คุณซูเริ่มออกกำลังกายตอนเดือน มี.ค. 56 ถึงเดือน มิ.ย. 56 แล้วต้องหยุดไปพักนึงเพราะปวดขา ตอนนี้อาการดีขึ้นก็เลยหันมาออกใหม่ โดยเริ่มจากเบา ๆ คือเดิน

เราก็ไปออกเป็นเพื่อนด้วย แต่มีช่วงนึงที่เรามีช่วยงานแปลของคนรู้จัก ก็เลยไม่ได้ไปเป็นเพื่อน ช่วงนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกันที่ให้คุณซูไปออกคนเดียว เพราะถ้าให้เราไปวิ่ง ๆ อยู่คนเดียว เราก็คงไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แล้วไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ที่นี่เขาไม่เปิดไฟข้างทางหรืองัยก็ไม่รู้ มืดอ่ะ ไป 2 คนอุ่นใจกว่า

เมื่อวาน 2 ส.ค. คนซูมีถามคอร์สเดินกับเราว่าจะเดินตรงขึ้นไป หรือว่าเลี้ยวขวา ชอบถามเราเรื่อยเลย เพราะถ้าถามเรา เราก็อยากย่นระยะทางอยู่แล้ว ซึ่่งจริงๆ เรารู้ว่าเขาอยากเดินต่อ เลยให้เขาตัดสินใจ คุณซูก็บอกว่าให้เราตัดสินใจ

สุดท้ายเราก็เลยพูดเลยว่า ถ้าเป็นเรื่องการนำ (ไม่ว่าจะนำทางหรืออะไร) คุณซูต้องเป็นผู้ตัดสินใจนะ เพราะเป็นหัวหน้าครอบครัว (จริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกายเล้ย แต่เราทำเป็นพูดเข้าทฤษฏีไปงั้นแหล่ะ 555)

เท่านั้นแหล่ะ คุณซูบอกงั้นเลี้ยวขวา โอเคเลี้ยวขวา อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ได้ตุ๊กตา Line จากตู้ Game Center มา 2 ตัว (เล็ก)

วันนี้ไปธุระข้างนอกมา แล้วอยู่ ๆ คุณซูก็พาเข้า Game Center ในนั้นก็จะมีตู้หนีบตุ๊กตา ฯ เยอะหลากหลายแบบเลย









มีตู้คีบปลาปั๊กเป้าด้วย


แล้วก็ตู้คีบเจ้าตัวนี้ด้วย




  
แล้วก็ได้เจ้า 2 ตัวนี้มา แต่กว่าจะได้ เสียไปหลายร้อยเยนเลย ><



รูปถ่ายจากใกล้ ๆ






ก่อนจะออกจาก Game Center พนักงานมาถามด้วยว่า "มีตัวไหนที่อยากให้วางแบบคีบง่าย ๆ มั้ย เดี๋ยวจะทำให้" มีแบบนี้ด้วยอ่ะ แต่ไม่เอาดีกว่า เพราะเดี๋ยวเสียอีกหลายร้อยเยน

ที่ได้มาวันนี้ก็น่ารักดี ปกติเราจะเฉยๆ กับตุ๊กตา Line อยู่แล้ว แต่วันนี้คงเพราะเสียไปเยอะ เลยต้องเก็บไว้อย่างดี เป็นที่ระลึก ^^







เริ่มเขียนไดอารี่ชีวิตคู่ "ครบ 1 ปีกว่าแล้วหลังจากที่จดทะเบียนสมรสที่ไทย"

นับย้อนหลังไป ก.ค. ปี 2555 เรากับคุณซูทำเรื่องจดทะเบียนสมรสที่เมืองไทย แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน (เพราะเป็นการแต่งงานกับคนต่างชาติ เรากับคุณซูเลยจะทำเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยก่อน ได้วีซ่าแล้วค่อยแต่งงานไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่น) นี่ก็ครบ 1 ปีกว่า ๆ หล่ะที่ทำเรื่องจดทะเบียนที่เมืองไทยเสร็จเรียบร้อย

ส่วนชีวิตคู่ ณ ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 7 เดือนกว่า ๆ แล้ว จะว่าเร็วก็เร็ว แต่ก็มีเรื่องของความไม่เข้าใจกัน รู้สึกไม่ดี ตั้งแต่เดือนแรกที่เรามาใช้ชีวิตที่นี่เลยหล่ะ เราจดใส่สมุดโน๊ตเลยว่า "ไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าคิดยังไง ทำไมพูดอ้อม ๆ ไม่ชัดเจน หรือว่าคนญี่ปุ่นเป็นแบบนี้ทั้งประเทศ" เขียนไว้เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 13 เวลา 23.45 น.

ซึ่งเรื่องนี้เราก็คุยกับคุณซูว่าอยากให้พูดให้ชัดเจนไปเลย เขาก็บอกว่าคนญี่ปุ่นจะเป็นสไตล์นี้อยู่แล้ว เราก็เลยบอกไปเลยว่า สำหรับเราไม่ต้องอ้อม เพราะยิ่งอ้อมยิ่งไม่เคลียร์ ซึ่งตอนนั้นกว่าจะกล้าพูดก็ปาเข้าไปเดือน มิ.ย. แล้วหล่ะ เพราะอยากให้เข้าใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาหลัก ๆ ก็คือเรื่องภาษาญี่ปุ่น ถึงเราจะพอได้ภาษามาบ้าง แต่ก็ยังเป็นอุปสรรคอยู่ดี แล้วยิ่งมาเจออ้อม ๆ อีกนี่ยิ่งไปกันใหญ่

เราก็ถือว่าโชคดีตรงที่คุณซูไม่ได้ให้ที่บ้านมายุ่งอะไรกับเรามาก ปัญหากับครอบครัวสามีเลยไม่มี

การใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นซึ่งหลาย ๆ คนก็รู้ ๆ อยู่แล้วว่าค่าครองชีพที่นี่สูงมาก และตอนนี้คุณซูก็เป็นเสาหลักหาเลี้ยงอยู่คนเดียว ส่วนเราก็มีหน้าที่เป็นแม่บ้าน ซึ่งคุณซูก็ให้ความไว้วางใจในการให้เราดูแลเรื่องบัญชีทุกอย่างภายในบ้าน เราก็เลยต้องทำบัญชีรายรับ - รายจ่ายขึ้นมา จะได้รู้ว่าเดือน ๆ นึงรับเท่าไหร่ จ่ายเท่าไหร่

ตอนอยู่เมืองไทยก็ทำเหมือนกัน แต่ไม่ละเอียดเท่านี้ อยู่ที่นี่ต้องขอใบเสร็จทุกครั้งที่ซื้อของ ถ้าร้านไหนไม่มีนี่ต้องจดตัวเลขไว้แล้วเอากลับมาทำบัญชี และตอนแรกจะให้คุณซูเอาบิลที่เขาใช้มาเคลียร์ แต่ถ้าเราไม่ทวงก็มักจะลืมให้ ทุกวันนี้เลยจัดการจัดระเบียบกระเป๋าคุณซูซะเลย มีใบเสร็จกี่ใบ เหลือเท่าไหร่ ดูเหมือนคุณซูจะชอบมากกว่าที่เขาต้องยื่นใบเสร็จเอง นับเงินที่เหลือเอง (เป็นงั้นไป)

รูปนี้ตะกร้าใส่ใบเสร็จของเรา (ตั้งแต่เดือน ม.ค. 56 ถึงปัจจุบัน)



ทุกวันนี้เรายังไม่มีรายได้ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราที่จะทำได้ก็คือ "การประหยัด" อย่างค่าไฟที่เราทำอยู่ก็คือ ถ้าอยู่คนเดียว อากาศร้อนก็เปิดพัดลม เปิดหน้าต่าง ถ้าอากาศเย็น ๆ ก็เปิดแค่หน้าต่าง หน้าหนาวถ้าทนอยู่ได้ก็จะพยายามไม่เปิดฮิทเตอร์ ปลั๊กไฟอันไหนที่ไม่ใช้ก็ไม่เสียบคาไว้ ก็ได้ผลเหมือนกันนะ

ค่ากับข้าว ก็จะซื้อมาพอดี ๆ สำหรับ 1 วัน หรือมากสุดแค่ 2 วัน เพราะพอซื้อมาเยอะ ทานไม่หมด เก็บไว้ตู้เย็น หมดอายุพอดี อันนี้น่าจะเป็นการเปลืองมากกว่า เราชอบที่ตู้เย็นโล่ง ๆ นะ (มีของ แต่ไม่ล้น) เพราะดูหยิบจับอะไรได้สะดวก รู้ว่าอันไหนเป็นอันไหน หมดอายุวันไหน เราไม่อยากให้ตู้เย็นมีแต่ของเน่าเสีย ยิ่งหน้าร้อนด้วยแล้ว ของเน่าเสียเร็วมาก ๆ และเวลาไปซื้อของสดที่ซุปเปอร์ ก็จะไปเย็น ๆ หน่อย ของเราจะพยายามเลือกที่เขาติดป้ายลดราคาแล้ว จะถูกหน่อย แล้วก็เอามาทำกับข้าวเลย

ทุกวันนี้เงินออมก็ยังไม่ค่อยมีกับเขาหรอกนะ แต่สูตรนี้เราก็จะใช้ไปตลอดคือ รายได้ - เงินออมโดยประมาณ = รายจ่าย

วันนี้ยังทำไม่สำเร็จ สักวันนึงคงทำได้ คิดไว้แบบนี้ตลอด (555)

กิจกรรมของครอบครัวเวลาที่คุณซูอยู่บ้าน (ไม่ทุกครั้งนะ) ก็จะมีออกไปข้างนอกด้วยกัน ไปดูร้านต้นไม้ ดูของ อย่างวันนี้ 1 ส.ค. 56 ก็ได้ต้นไม้ ได้ตุ๊กตา Line (ตัวเล็ก) ได้มะละกอมา

กว่าจะได้เจ้า 2 ตัวนี้มา หมดไปหลายร้อยเยน เงินออมคงลดลงบ้างเล็กน้อย แต่ก็นานที คุณซูจะได้คลายเครียดด้วย (แต่คงไม่ให้บ่อย SmileySmiley)



ส่วนต้นไม้เป็นงานอดิเรกของคุณซู เราทั้งสองคนก็จะพยายามเลือกต้นนึงไม่ให้เกิน 150 เยน

ต้นมะเขือสีม่วง เผื่อออกผล จะได้ไม่ต้องไปซื้อ



แตงกวา (ใบหักเพราะโดนมะเขือเบียด Smiley



ไม้ดอกไช้เพิ่มสีสันสำหรับสวน







ส่วนอันนี้เป็นมะละกอ (เทียบกับมือถือ) ตอนแรกนึกว่ามะม่วงซะอีก คุณซูอยากกินมาก ไปเห็นต้นมะละกอที่ร้าน เลยอยากกินผล แต่ไม่มีขายที่ซุปเปอร์แถวบ้าน ลูกนี้ถึงขนาดไปซื้อที่ห้างที่ไกลออกไปหน่อย ตอนนั้นก็ 2 ทุ่มกว่า ๆ กลับถึงบ้าน จะทำกับข้าว คุณซูบอกว่าเดี๋ยวมา จะไปซื้อมะละกอ แล้วก็ถามเราว่าจะไปด้วยมั้ย ไปก็ไป ก็ได้รู้ความในใจคุณซูที่เขาบอกมาว่า รู้สึกดีที่เราไปเป็นเพื่อนเขา Smiley



ราคาค่อนข้างแพง แต่นาน ๆ ทีอ่ะเนอะ ^^